อุบลราชธานี 26 พ.ค.- เปิดใจ“แพะ” หลังติดคุกนาน 7 ปี ขออโหสิกรรมไม่เอาเรื่อง เตรียมเดินทางเข้าพบนายกฯ วันอังคารหน้า
นายวรวิทย์ สินทองน้อย อายุ 32 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี ซึ่งตกเป็น “แพะ” แบบซ้ำซ้อนถึง 2 คดี ทั้งร่วมกันฆ่าผู้อื่นตายและบงการค้ายาเสพติดจากในคุก ขณะถูกจองจำ ได้รับการปล่อยตัวหลังติดคุกนานถึง 7 ปี โดยคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต แต่ศาลฎีกาได้ยกฟ้องเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559
วันนี้ (26 พ.ค.) นายวรวิทย์ ต้องคอยต้อนรับเพื่อนบ้าน คุณครูที่เคยสอนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น และญาติผู้ใหญ่ในอำเภอที่ทราบเรื่องการปล่อยตัว มาเยี่ยมปลอบขวัญให้กำลังใจ โดยขอให้ นายวรวิทย์ ลืมเหตุการณ์ร้ายๆ และกลับมาตั้งหน้าตั้งตาประกอบอาชีพช่างทำท่อไอเสียรถยนต์ ซึ่งเป็นอาชีพดั่งเดิมของครอบครัวมานานกว่า 30 ปี ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ DSI ได้เดินทางมาพบ เพื่อให้ นายวรวิทย์ และเพื่อน ที่ตกเป็นแพะในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นตาย เดินทางเข้าไปพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันอังคารที่ 30 พ.ค.นี้ ด้วย
นายวรวิทย์ เปิดเผยว่า หลังถูกจองจำอยู่ในเรือนจำนานถึง 7 ปี ทำให้อู่รับซ่อมเกิดความชำรุดทรุดโทรม เครื่องไม้เครื่องมือบางส่วนสูญหายไป ซึ่งต่อจากนี้จะเริ่มทำการปรับปรุงอู่ และซื้อวัสดุอุปกรณ์ช่างมาใช้รับงานซ่อมท่อไอเสียเจริญรอยตามผู้เป็นพ่อ
นายวรวิทย์ กล่าวว่า วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้อง และให้ปล่อยตัว ตนดีใจที่จะได้ออกไปพบหน้าคนครอบครัว หลังถูกจองจำมานานถึง 6 ปี แต่จู่ๆ เหมือนถูกสายฟ้าฟาด เมื่อทราบว่าพนักงานสอบสวน สภ.เดชอุดม ได้ขออายัดตัวไว้ดำเนินคดีต่อ ในข้อหาบงการให้มีการค้ายาเสพติดออกมาจากเรือน แม้ขณะนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชะตากรรมของชีวิต แต่ไม่คิดทำร้ายตัวเอง เพราะถ้าทำร้ายตัวเองก็เท่ากับทำร้ายคนในครอบครัวด้วย จึงเดินหน้าต่อสู้จนมีวันนี้
ส่วนเคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตนไม่ต้องการไปตอบโต้ หรือสร้างกรรมให้กับใครด้วยมือของตนเอง แต่หากคนที่ทำกับตนจะได้รับกรรม ก็ให้ได้รับกรรมจากผลกรรมที่คนนั้นทำขึ้นเอง ส่วนค่าชดเชยเยียวยาจากผลกระทบที่ถูกจองจำอยู่นาน 7 ปี มารดา และแฟนสาว ได้ทำเรื่องเสนอไปยังกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอรับเงินเยียวยา ส่วนเงินอื่นๆ ไม่ขอรับ และหลังจากเดินทางไปเยี่ยมขอบคุณบุคคลหลายฝ่ายที่เข้ามาช่วยเหลือตนเสร็จแล้ว ก็จะหาฤกษ์บวชให้กับเจ้ากรรมนายเวร และเดินหน้าประกอบอาชีพเป็นช่างทำท่อไอเสียรถยนต์ต่อไป.-สำนักข่าวไทย