รัฐมนตรีพลังงาน สนใจรูปแบบบรรษัทน้ำมันแห่งชาตินอร์เวย์

นอร์เวย์ 22 พ.ค. – รมว.พลังงานสนใจรูปแบบบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ(National Oil Company)ของนอร์เวย์ พร้อมนำมาศึกษาวิเคราะห์เพื่อพิจารณาปรับใช้กับการลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมของไทย   


พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการเดินทางไปยังประเทศนอร์เวย์ เมื่อวันที่19พ.ค.2560 ที่ผ่านมาและได้มีการพบปะหารือกับ Ms.Elisabeth Berge นปลัดกระทรวงปิโตรเลียมและพลังงานของนอร์เวย์  โดยสนใจโดยเฉพาะในประเด็นเรื่องอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมว่า นอร์เวย์เป็นประเทศที่มีการบริหารจัดการผลประโยชน์ด้านปิโตรเลียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ระบบสัมปทานปิโตรเลียม เช่นเดียวกับประเทศไทย และยังคงยืนยันที่จะใช้ระบบสัมปทานในการบริหารจัดการผลประโยชน์ให้กับรัฐต่อไป   ในขณะที่ประเทศไทยล่าสุดมีการแก้ไขพ.ร.บ.ปิโตรเลียม เพื่อเพิ่มเติมระบบแบ่งปันผลผลิต หรือ(Production Sharing Contract –PSC) และระบบจ้างบริการ หรือService Contract –SC)ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปแล้ว

ทั้งนี้นอร์เวย์ใช้ระบบสัมปทานในการบริหารจัดการผลประโยชน์ด้านปิโตรเลียมให้กับรัฐ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ประเทศไทยใช้ ตั้งแต่ปี2514 โดยที่มีหน่วยงานในการกำกับดูแลในการออกหลักเกณฑ์และให้ใบอนุญาตสัมปทาน ที่ชื่อ Norwegian Petroleum Directorate   เช่นเดียวกับไทย ที่มีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในขณะที่มีบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ(NOC) ที่ทำหน้าที่เป็น Operator ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมคือ Statoil  เช่นเดียวกับที่ไทยมี ปตท.และปตท.สผ.  แต่Statoil ของนอร์เวย์ในช่วงเริ่มต้นนั้น สามารถเข้าไปร่วมถือหุ้นกับผู้รับสัมปทาน โดยใช้อาจตามกฏหมายการมีส่วนรวมของภาครัฐ ได้ในสัดส่วนที่สูงถึง50% ในแหล่งที่รัฐเห็นว่ามีศักยภาพด้านปิโตรเลียม อีกทั้ง Statoil ยังไม่ต้องจ่ายเงินในช่วงของการสำรวจ  ซึ่งถือเป็นช่วงที่ผู้ลงทุนมีความเสี่ยงมากที่สุด   โดยในแนวทางดังกล่าวนั้นทำให้ ภาครัฐของนอร์เวย์ มีรายได้จากปิโตรเลียมจำนวนมาก และจัดเก็บเอาไว้ในกองทุน ที่เรียกว่าState’s Direct Financial Interestsหรือ SDFI


หลังจากนั้น ในปี2544 รัฐบาลนอร์เวย์ก็มีการจัดตั้งNOC ที่รัฐถือหุ้น100% ชื่อว่า Petoro  เพื่อมาบริหารจัดการ SDFI  และนำเงินที่สะสมอยู่ใน SDFI มาใช้ลงทุนในแหล่งสัมปทานที่มีศักยภาพด้านปิโตรเลียมร่วมกับผู้รับสัมปทานตามที่กฏหมาย เปิดช่องไว้ให้ในระยะหลัง เงื่อนไขการให้สัมปทานของนอร์เวย์ มีการผ่อนปรนมากขึ้นเพื่อจูงใจผู้ลงทุน โดยนอร์เวย์ ยกเลิกการจัดเก็บค่าภาคหลวง  มาเป็นรูปของภาษีแทน 

โดยเมื่อเปรียบเทียบตั้งแต่ต้นทางจากการผลิตถึงการจำหน่ายมีรายได้และกำไรแล้ว ระบบสัมปทานของไทย รัฐจะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ประมาณ70% เอกชนผู้รับสัมปทานได้30% ในขณะที่นอร์เวย์ รัฐได้ผลประโยชน์โดยเฉลี่ยประมาณ40%

ข้อแตกต่างอีกประการภายใต้ระบบสัมปทานระหว่างไทยกับนอร์เวย์ คือในการตัดเลือกเอกชนผู้รับสัมปทาน ของนอร์เวย์จะใช้วิธีเจรจาเพื่อหาเอกชนที่มีเทคโนโลยี มีประสบการณ์ มีแผนงานการสำรวจที่ดี และมั่นใจว่าจะเป็นบริษัทที่ทุ่มเทให้กับการสำรวจจนพลและนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ไทย การคัดเลือกเอกชนโดยวิธีการประมูลว่าเอกชนรายใดจะ เสนอแผนงานการสำรวจที่เชื่อว่าจะมีโอกาสพบปิโตรเลียมได้มากที่สุด รวมทั้งเสนอแผนเงินคือผลประโยชน์ตอบแทนให้กับรัฐมากที่สุด ประกอบการพิจารณาและให้คะแนน  โดยเอกชนที่ได้คะแนนสูงสุดก็จะได้รับสัมปทานไป


ปัจจุบันภาครัฐของนอร์เวย์ มีรายได้จากผลประโยชน์ปิโตรเลียมจาก3 ทาง คือ1การจัดเก็บภาษีจากผู้รับสัมปทาน 2.จากเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทStatoil  ที่หน่วยงานรัฐของนอร์เวย์ถือหุ้นใหญ่ และ3.การกำไรที่รัฐเข้าไปลงทุนร่วมกับผู้รับสัมปทานในแหล่งปิโตรเลียม คือPetoro ที่รัฐ ถือหุ้น100  ซึ่งผลประโยชน์จากปิโตรเลียมดังกล่าวทำให้นอร์เวย์กลายเป็นประเทศที่มั่งคั่งและมีการจัดสวัสดิการด้านต่างๆให้กับประชาชน ได้ดีที่สุดในอันดับต้นๆของโลก

“จากการหารือกับปลัดกระทรวงปิโตรเลียมและพลังงาน นอร์เวย์ยังยืนยันที่จะใช้ระบบสัมปทานในการบริหารจัดการผลประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมของนอร์เวย์ต่อไป แต่มีเงื่อนไขที่จูงใจนักลงทุนมากขึ้น เพราะเขาให้ความสำคัญกับการสำรวจแล้วพบปิโตรเลียม ซึ่งรัฐก็จะได้ผลประโยชน์ตามเอกชนไปด้วย   อย่างไรก็ตามโมเดลของนอร์เวย์จะต้องนำมาศึกษาวิเคราะห์ดูว่า มีส่วนใด ที่น่าจะนำมาปรับใช้กับกรณีของประเทศไทยได้  โดยเฉพาะการจัดตั้งNOC ในรูปแบบเฉพาะที่เกี่ยวกับกับการลงทุนเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่การลงไปเป็นโอเปอเรเตอร์เอง อย่างPetoto  ที่ไทยยังไม่มีหน่วยงานในรูปแบบนี้ ก็เป็นโมเดลที่น่าสนใจ “ พลเอกอนันตพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม พลเอกอนันตพร กล่าวว่า แนวคิดการตั้งหน่วยงานในรูปแบบเดียวกับกับPetoro ที่มีรัฐถือหุ้น100% เพื่อเข้าไปร่วมลงทุนในแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทย   นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้งบประมาณแผ่นดินในการลงทุน ซึ่งถ้าคิดจะตั้งก็ต้องชี้แจงให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้ได้  ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานจัดส่งค่าภาคหลวงที่จัดเก็บได้ให้กับกระทรวงการคลังปีละประมาณ2แสนล้านบาท  โดยในแนวคิดอาจจะกันเงินส่วนนี้ มาใช้สำหรับการลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเห็นว่ามีศักยภาพสูง มีความเสี่ยงต่ำ ก็ได้

สำหรับการเปิดประมูลเพื่อหาเอกชนมาดำเนินการในแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่จะหมดอายุในปี2565และ2566 ทั้งเอราวัณ และบงกช นั้น  ส่วนใหญ่น่าจะใช้ระบบสัมปทาน แต่จะมีบางแหล่งที่คิดว่าจะใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต – สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% ไม่พอใจเข้มปราบแก๊งคอลฯ

กระทรวงวัฒนธรรม 26 ก.ค.- “แพทองธาร” เปิดใจ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยร่วมมือลาว – เมียนมา ปราบคอลเซ็นเตอร์ เผยสื่อนอกยังตั้งข้อสังเกต “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยนางสาวแพทองธารได้ยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่าง ๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า มีสำนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นท์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ […]

“เสธ.เบิร์ด” ชี้เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” ถือเป็นภัยคุกคาม

26 ก.ค.- “เสธ.เบิร์ด” ชี้ เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” วิถีไกล 130 กม. ถือเป็นภัยคุกคาม มองไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. เพื่อพุ่งเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์และที่ตั้งทหารนั้น ล่าสุด พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากการที่กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศเกินกว่าเหตุนั้น เราไม่ทำเกินกว่าเหตุ แต่สิ่งที่เราทำนี้เป็นเหตุผล เพราะฝ่ายกัมพูชา เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนของไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้ประชาชนชาวไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การปฏิบัติการทางอากาศของไทยทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านลดต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย

น่าน 26 ก.ค.- สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองน่าน ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอีกหลายจุดยังอ่วม ท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย ย่านการค้าและเศรษฐกิจสำคัญของเมืองน่าน บริเวณถนนสุมณเทวราช ซึ่งเคยน้ำท่วมสูงเกือบถึงคอ แต่ตอนนี้น้ำลดลงเหลือประมาณหน้าขา เท่ากับลดไปราว 1 เมตร แต่บริเวณโดยรอบยังมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะที่ลุ่มต่ำ ยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจความเสียหายของโรงแรงแห่งหนึ่งกลางเมืองน่าน ซึ่งสภาพภายในเต็มไปด้วยคราบโคลน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดไว้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่เจ้าของร้านค้าย่านนี้ เริ่มสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือที่โรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมสูงเต็มพื้นที่ 40 ไร่ บางจุดท่วมเกือบมิดหัว ตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ตามอาคารต่างๆ น้ำทะลักท่วมยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย แต่ผู้ป่วยใน ราว 3 ร้อยคน ยังปลอดภัย คุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเปิดบริการตามปกติให้เร็วที่สุด ช่วงสายที่ผ่านมา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายใจกลางเขตเศรษฐกิจเมืองน่านด้วย -สำนักข่าวไทย