กรุงเทพฯ 24 เม.ย.-สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. เตรียมควบคุมธุรกิจขายตรงให้เข้มงวดขึ้น หลังจากมีเหตุฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโช่ จนเกิดความเสียหาย อย่างคดีโชกุน หรือหมอลวงหมอลงทุนบริษัททัวร์ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและแยกธุรกิจถูกกับผิดออกจากกันได้
สคบ.เปิดเผยข้อมูลด้านธุรกิจขายตรงที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจขายตรง ล่าสุดมีจำนวน 1,398 ราย ซึ่งทุกแห่งต้องมีสถานที่ประกอบการชัดเจน มีสินค้า มีการประกอบการ มีสมาชิก ให้ผลตอบแทนสมาชิกจากการสินค้าสินค้าในอัตราที่เหมาะสม และเป็นระบบธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้เพิกถอนทะเบียนธุรกิจขายตรง เพราะทำผิดกฎหมายขายตรง จำนวน 2 ราย ในปีนี้
ส่วนคดีฉ้อโกงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะ 2 รายใหญ่ อย่างคดีโชกุน หรือคดีหมอโกงหมอลงทุนในบริษัททัวร์ เลขาธิการ สคบ. ยืนยันว่า ไม่ใช่ธุรกิจขายตรง แต่เป็นแชร์ลูกโซ่ ซึ่งคนทั่วไปแทบจะแยกกันไม่ออก แต่จริงๆ แล้ว มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอย่างน้อย 10 ประการ เช่น ถ้าเป็นแชร์ลูกโซ่ บริษัทไม่ได้จดทะเบียน สถานประกอบการไม่น่าเชื่อถือ ขายสินค้าต้องห้ามเน้นขายพ่วง หรือเพิ่มเครือข่ายมากว่ายอดขาย โฆษณาเกินจริง ชักจูงด้วยเงินก้อนจ่ายค่าตอบแทนรายวันและสูงเกินจริง เป็นต้น
สมาคมการขายตรงไทย ยอมรับว่า 2 คดีดังที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบกับธุรกิจบ้าง แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ร่วมมือตรวจสอบซึ่งกันและกัน และดูแลให้อยู่ในกรอบกฎหมาย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจนี้ ซึ่งมีมูลค่าการตลาดมากกว่า 70,000 ล้านบาท มีผู้เกี่ยวข้องทั้งผู้ซื้อ ผู้ขายกว่า 16 ล้านคน
นับจากนี้ สคบ.ร่วมกับผู้ประกอบการขายตรงทุกสมาคม เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมดูแลธุรกิจทั้งระบบ โดยตรวจสอบบริษัทที่มาขอจดทะเบียนใหม่อย่างละเอียดลงลึกทุกด้าน ส่วนบริษัทเก่าจัดชุดเฉพาะกิจออกสุ่มตรวจอย่างสม่ำเสมอ หากพบการกระทำที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ หลอกลวงประชาชน ก็จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ขายตรง มาตรา 19 มีโทษสูงสุด จำคุก 5ปี ปรับ 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับทันที.-สำนักข่าวไทย