บุรีรัมย์ 14 ก.พ.-ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีครูถูกผู้ปกครองร้องเรียนมีพฤติกรรมทำโทษเด็กนักเรียนรุนแรงเกินกว่าเหตุ
จากกรณีที่พ่อแม่ ผู้ปกครองนักเรียนในตำบลลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ กว่า 10 คน รวมตัวกันนำเอกสารการลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานกับตำรวจ สภ.โนนดินแดง และภาพถ่ายของลูกหลานที่เคยถูกครูที่โรงเรียนในหมู่บ้านทำโทษด้วยการใช้หวายฟาด ท่อแป๊บตีก้นจนมีรอยเขียวช้ำทั้งห้องเพราะเด็กดื้อบอกไม่เชื่อฟัง ออกมาร้องขอความเป็นธรรมและเรียกร้องให้ย้ายครูคนดังกล่าวออกนอกพื้นที่ เพราะทนกับพฤติกรรมของครูคนดังกล่าวที่ลงโทษบุตรหลานรุนแรงเกินกว่าเหตุไม่ไหว
ล่าสุดนายเทียน ปลื้มกมล ผู้อำนวยการโรงเรียนที่เกิดเหตุได้สั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว พร้อมทั้งจะมีการเชิญคณะครู กรรมการสถานศึกษา ครูที่ถูกร้องเรียน และผู้ปกครองนักเรียน รวมถึงตัวแทนจากทางเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 เข้าร่วมพูดคุยหารือเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก
อย่างไรก็ตามจากการสอบถามผุ้อำนวยการ ให้ข้อมูลว่าจากการพูดคุยกับครูที่ถูกร้องเรียนก็ยอมรับว่าได้ทำโทษเด็กนักเรียนจริง แต่เป็นการทำโทษในฐานะครูที่ต้องการอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ที่ดื้อเท่านั้น ไม่ได้ทำรุนแรงหรือลงโทษเด็กทั้งห้องตามที่ถูกกล่าวหา แต่การตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการขั้นตอน โดยจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
ด้านนายเชวงศักดิ์ แสนมี ผู้ใหญ่บ้าน เล่าว่ามีผู้ปกครองร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของครูที่ทำโทษบุตรหลานของตัวเอง มาตั้งแต่ปี 2558 แล้ว ซึ่งตนเองในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่บ้านก็เคยเป็นตัวแทนในการไกล่เกลี่ยมาแล้ว แต่ครูคนดังกล่าวก็ยังมีพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวอีก ขนาดลูกชายของตนเองก็เคยถูกครูทำโทษจนก้นเขียวช้ำเหมือนกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาบานปลายจึงได้แค่ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ กระทั่งมีผู้ปกครองมาร้องเรียนอีก บางคนก็พาลูกไปแจ้งลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.โนนดินแดง ถึงขั้นมีการเรียกไกล่เกลี่ยกันที่โรงพัก แต่ก็ยังไม่จบ แต่เมื่อครูที่ถูกร้องเรียนทราบเรื่องก็มีการข่มขู่ผู้ปกครองว่าถ้าใครไปแจ้งความ จะแจ้งความกลับฐานแจ้งความเท็จ ทั้งที่ผู้ปกครองก็มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานชัดเจน และเด็กก็ยืนยันว่าถูกทำโทษ จึงอยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย.-สำนักข่าวไทย