นครศรีธรรมราช 29 พ.ย. – ตายายเหยื่อ 6 โจรไอ้โม่งอาวุธครบมือบุกปล้นบ้าน กวาดทรัพย์สินนับล้านใน 5 นาที ผวาหนัก หวั่นถูกย้อนเอาชีวิต หลังถูกโจรโทรขู่ ช้ำใจตำรวจสั่งให้บอก “วงจรปิดเสีย” แต่หายเงียบ จี้เร่งล่าคนร้าย
เหตุการณ์ 6 คนร้ายสวมไอ้โม่ง สวมถุงมือ พร้อมอาวุธปืน บุกเข้าก่อเหตุปล้นทรัพย์ 2 ตายายผู้มีฐานะในหมู่บ้าน เกิดขึ้นเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 คนร้ายเป็นชายฉกรรจ์ 6 คน แต่งตัวทะมัดทะแมง มีการเตรียมตัวอย่างดี ทั้งปกปิดใบหน้า บางคนสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ใช้รถกระบะมิตซูบิชิ ตอนเดียว สีขาว เป็นพาหนะ
คนร้ายเริ่มบุกเข้าไปในบ้าน เวลา 11.20 น. มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน จากนั้นแต่ละคนได้กระจายกันทำหน้าที่ มีการคุมตรึงพื้นที่ โดยหนึ่งคนได้เริ่มใช้เหล็กแทงปาล์มพังประตู และอีกคนยืนถือปืนจ้องคุมเชิง จากนั้นได้ถีบประตูคล้ายกับคนที่เคยถูกฝึกทางยุทธวิธี ก่อนจะพังประตูเข้าไป หลังจากนั้นกล้องวงจรปิดอีกตัวในบ้านบันทึกภาพไว้ได้ ขณะที่คนร้ายกระจายกันคุมพื้นที่ และอีกส่วนหนึ่งเข้าไปลากเอาตู้เซฟขนาดใหญ่ออกมา เมื่อมาถึงประตูหลังบ้าน ได้นำรถเข็นมาเคลื่อนย้ายตู้เซฟขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ก่อนหลบหนีไป โดยใช้เวลาก่อเหตุเพียง 5 นาที
เมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังเกิดเหตุ ในพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช พบว่า บ้านหลังนี้มีผู้เสียหาย 2 ตายาย คือ นายเฉลียว อายุ 76 ปี และนางปราณี อายุ 73 ปี สามีภรรยา อาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว โดยรอบบ้านนั้นลูกหลานได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ถึง 6 ตัว ซึ่งเป็นกล้องที่สามารถบันทึกภาพคนร้ายขณะก่อเหตุไว้ได้ทั้งหมด โชคดีที่ขณะนั้นไม่มีใครอยู่ในบ้าน ทำให้รอดจากการบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่เหตุการณ์นี้ผู้เสียหายทั้งคู่ถูกเจ้าหน้าที่สั่งว่าจะเร่งติดตามคดีให้ และหากใครถามให้แจ้งว่า “วงจรปิดเสีย” จึงเชื่อเจ้าหน้าที่ แต่ท้ายที่สุด 3 เดือน กลับไม่มีความคืบหน้า และยังหวั่นเกรงว่าจะถูกคนร้ายย้อนมาก่อเหตุซ้ำ รวมทั้งมีโทรศัพท์มาขู่ขอเงินและขู่ฆ่าซ้ำอีก
ผู้เสียหายบอกว่า คนร้ายมีอาวุธครบมือได้บุกเข้าไปในห้อง แล้วเอาตู้เซฟที่ภายในมีเงินสดจำนวนหนึ่ง ทองรูปพรรณน้ำหนักเกือบ 30 บาท ปืนพกสั้น 2 กระบอก ขนาด .357 และขนาด .38 รวมมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งหลังเกิดเหตุได้ไปแจ้งความ แต่ถูกกำชับไว้ว่า หากใครถามให้แจ้งว่า “วงจรปิดเสีย” จึงเชื่อมาตลอด แต่พอผ่านมา 3 เดือน ก็เริ่มวิตก ลูกหลานจึงได้นำภาพไปเผยแพร่ เพื่อเร่งรัดติดตามคนร้าย
นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังบอกว่า กังวลกับเหตุการณ์อย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าจะจับคนร้ายได้หรือไม่ ส่วนทรัพย์สินที่หายไปก็ไม่รู้จะได้คืนหรือไม่ แต่ถือว่าโชคดีที่ไม่มีใครอยู่บ้าน มิฉะนั้นอาจเกิดอันตราย และเมื่อไม่กี่วันยังมีกลุ่มคนร้ายโทรมาขู่ขอเงินและขู่ฆ่าอีก จึงอยากให้ตำรวจจัดการอย่างเร่งด่วน. – สำนักข่าวไทย