ทำเนียบรัฐบาล 12 ก.ค.-“นิพนธ์” ยันปมไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ เพราะผลสอบพบฮั้วประมูล ทางจังหวัดมีหนังสือไม่ให้จ่าย ชี้ ป.ป.ช.กล่าวหาเป็นผู้มีอิทธิพล ทำเสียหาย กำลังพิจารณาจะฟ้องกลับหรือไม่
นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฟ้องคดีอาญาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา ละเว้นไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นคนมีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดสงขลา ว่า คดีความใช้เวลาในการโต้แย้งมานานพอสมควร ซึ่งตนชี้แจงมาหลายครั้งแล้ว และไม่รู้จะพูดอะไรอีก
“พยายามชี้แจงและร้องขอความเป็นธรรมจาก ป.ป.ช.มาตลอดว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ตนไม่ได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งใคร หรือก่อให้เกิดความเสียหายกับใคร แต่เกิดจากการร้องเรียนและมีหนังสือจากจังหวัดสั่งไม่ให้จ่ายเงินล่วงหน้า โดยให้รายงานข้อเท็จจริงต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ผมจึงตั้งกรรมการสอบ ซึ่งสรุปผลว่ามีการฮั้วประมูลจริง โดยขณะนั้นผมได้รายงานต่อจังหวัดและสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาโดยตลอด และเรื่องดังกล่าวปรากฏข้อชัดเจนแล้วว่า ขณะนี้ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ได้ออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการฮั้วการซ่อมบำรุงรถครั้งที่ 1-3” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว
นายนิพนธ์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบขณะนี้อัยการสั่งฟ้องศาลแล้ว จำเลยเองก็อยู่ในเรือนจำ ป.ป.ช.เองก็แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่ในขบวนการฮั้วทั้งหมด จึงเป็นที่มาว่าเกิดการฮั้วเกิดขึ้นแล้วตนจะจ่ายเงินได้อย่างไร เช่นเดียวกับคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในปี 2519 ที่ไม่มีการแข่งขันราคากันจริง ซึ่งขัดกับความสงบเรียบร้อยกฎหมายนิติกรรม โดยที่ประชุมใหญ่ได้วางบรรทัดฐานไว้แล้วว่าเป็นโมฆะกรรม ไม่มีผลผูกพันกัน อบจ.จึงไม่จำเป็นต้องถือหลักทรัพย์ไว้และให้คืน เนื่องจากนิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ และคำพิพากษาของศาลฎีกาในปี 2531 ก็เดินแนวทางนี้มาโดยตลอด
“เรื่องนี้ผ่านพ้นเวลามายาวนานและมีการโต้แย้งกันมาตลอด ผมไม่ประสงค์จะโต้แย้งส่วนตัว และไม่มีปัญหาส่วนตัวกับ ป.ป.ช. เพียงแต่ต้องการร้องขอความเป็นธรรม เพราะที่ผมทำไปเพราะถือว่าเป็นการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินและภาษีของประชาชน ส่วนที่กล่าวหาว่าผมเป็นผู้มีอิทธิพล และจะขอนำคดีนี้มาพิจารณาที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนั้น เป็นการสร้างความเสียหายให้กับผมอย่างมาก เพราะผู้ใหญ่หากพูดจาแล้วต้องมีความระมัดระวัง ต้องไม่กล่าวร้ายคนอื่น ยืนยันตามกฎหมาย ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาคดีนี้อยู่แล้ว จึงไม่มีใครจะมีอิทธิพลเหนือกว่าศาลได้ การจะนำคดีนี้ขึ้นสู่ส่วนกลางจะเป็นการเพิ่มภาระ โดยเฉพาะพยานที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ควรจะดำเนินคดีในพื้นที่นั้น” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว
ส่วนจะฟ้องกลับหรือไม่นั้น นายนิพนธ์ กล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ แต่ส่วนตัวไม่ประสงค์อยากจะตอบโต้ แต่การจะให้ร้ายคนอื่นต้องพึงระมัดระวัง ส่วนจะทำหนังสือแย้งไปยัง ป.ป.ช.หรือไม่นั้น หากมีจริง คดีตนจะเป็นคดีแรก ที่มีการใช้อำนาจอย่างนี้.-สำนักข่าวไทย