รัฐสภา 8 มิ.ย.- ธนาคารแห่งประเทศไทย แจง กมธ.งบประมาณ ระบุ ไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังเจอภาวะเงินเฟ้อไปอีกระยะ พร้อมเผยไทยต้องเจอปัจจัยเสี่ยงเรื่องต้นทุนการผลิต ค่าครองชีพขาดแคลนอาหาร-พลังงานภาคการผลิต
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 แถลงผลการประชุม ว่า เมื่อวานนี้(7 มิ.ย.) คณะกรรมาธิการฯได้พิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ งบประมาณรายจ่าย และการตรวจสอบงบการเงินของหน่วยรับงบประมาณในภาพรวม 5 หน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชี้แจงว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี2565 และปี 2566 ซึ่งกลไกหลักที่เป็นปัจจัยของการฟื้นตัวคืออุปสงค์ภายในประเทศและภาคการท่องเที่ยว พร้อมชี้แจงว่าสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ ที่จะทำให้เกิดปัญหาต่อการบริโภคและการลงทุน รวมทั้งปัญหาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประเมินว่าการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าในระลอกก่อนหน้า ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประเมินว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือ GDP จะสามารถกลับฟื้นตัวอยู่ในระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 ขณะที่อัตราผู้ว่างงานจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงต่อจากนี้ และเรื่องของการท่องเที่ยวได้มีการคาดการณ์ว่าทั้งปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจำนวนประมาณ 5.6 ล้านคน
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เข้ามาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ ยังระบุว่า ในอนาคตมี 2 ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจที่ไทยจะต้องเจอ คือ เรื่องของต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพในประเทศที่สูงขึ้น และปัญหาการขาดแคลนอาหาร วัตถุดิบและพลังงานในภาคการผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ และยังได้มีการคาดการณ์ว่าภาวะเงินเฟ้อต่อจากนี้อาจจะสูงขึ้น และทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป และจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงปี 2566
ขณะที่คณะกรรมาธิการได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือปัญหาที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จัดการกับเงินเฟ้อ ที่มีการใข้มาตรการที่รุนแรงในการขึ้นดอกเบี้ย จึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และส่งผลต่อการส่งออกของประเทศไทยที่จะเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนประเทศในระยะต่อไป.-สำนักข่าวไทย