รัฐสภา 3 ก.พ.-ส.ส.ก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามเรื่องน้ำมันรั่วกลางทะเล ซัด “วราวุธ” บอกรักป่า รักทะเล แต่ไม่บอกรักประชาชน ก่อนถูกสวนกลับ ตบท้ายได้ปูนึ่งเป็นของฝาก
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผ็แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานการประชุม ช่วงกระทู้ถามสด น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เรื่องการแก้ปัญหาน้ำมันดิบรั่วลงทะเล พื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง จากท่อใต้ทะเลของทุ่นรับน้ำมันดิบกลางทะเล ของบริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบคำพูดของ 2 รัฐมนตรี คือรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรมว.อุตสาหกรรมที่ให้สัมภาษณ์วันเกิดเหตุว่า ไม่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและประชาชน ซึ่งมองว่าเป็นการปกป้องบริษัทเอกชน และไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติ อีกทั้งพบว่าการให้ตัวเลขปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลมีปริมาณลดลงจากระดับแสนลิตร เหลือหมื่นลิตร
จากนั้น นายวราวุธ ชี้แจงว่า น้ำมันรั่วเกิดขึ้นจากท่อที่เชื่อมกับทุ่นน้ำมัน และเกิดขึ้นในเวลากลางคืน จึงไม่สามารถตอบได้ เพราะไม่ได้ขนถ่าย ดังนั้น ต้องอาศัยบริษัทให้ข้อมูล ส่วนที่บอกว่าตนไม่สามารถรักษาผลประโยชน์นั้น จากการลงพื้นที่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าเป็นเพียงแผ่นฟิล์มบาง ๆ ไม่เหมือนกับน้ำมันรั่วเมื่อปี 2556 ที่อ่าวพร้าว อย่างไรก็ตาม ในฐานะรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าสิ่งสำคัญต้องไม่สร้างความตระหนก ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับสาธารณะ และจากข้อมูลเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ตรวจพื้นทะเล พบว่าปะการังมีสภาพสมบูรณ์ และจะตรวจทุกระยะ โดยตน
“ยืนยันว่าไม่มีทางปกป้องบริษัท และจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับการใช้งบประมาณแผ่นดินเพื่อแก้ปัญหา zมรักผมหวงผืนป่า รักษาทะเลขนาดไหน จากเหตุการณ์น้ำมันรั่ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ลงพื้นที่ ไม่พบคราบน้ำมันที่เห็นด้วยตาเปล่า เพราะน้ำมันกระจาย แตกตัวลงสู่ทะเล ป้องกันคราบน้ำมันขึ้นหาดที่อ่าวพร้าว แม่รำพึงได้ หรือที่ขึ้นได้ซับคราบและนำไปกำจัด และป้องกันอีกหลายจุด” นายวราวุธ กล่าว
ทั้งนี้ น.ส.เบญจา กล่าวว่า ไม่ผิดคาดกับคำชี้แจงของนายวราวุธ ที่บอกว่ารักทะเล รักธรรมชาติ แต่ไม่มีคำว่ารักประชาชนหรือดูแลประชาชนที่เดือดร้อน ตนขอทราบการประกาศภัยพิบัติในพื้นที่ ทำให้นายวราวุธ ย้อนถามว่า สิ่งที่ตนพูดไม่จริงตรงไหน เพราะข้อมูลได้มาจากจังหวัดและบริษัท
“ที่บอกว่าไม่เคยรักประชาชนนั้น ถือว่าเข้าใจผิด ที่ผมรักป่า รักทะเล ดูแลธรรมชาติ ไม่ใช่ดูแลเพื่อใคร แต่เพื่อคนไทย 67 ล้านคน ขอฝากบอกส.ส.ว่า การดูแลธรรมชาติและทรัพยากร ทำเพื่อมนุษย์ หากไม่มีทรัพยากร มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบ ส่วนการประกาศเขตภัยพิบัติที่จังหวัดประกาศ ผมยังไม่ได้รับรายงานล่าสุด แต่จากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนพอใจระดับหนึ่ง” นายวราวุธ กล่าว
น.ส.เบญจา ตั้งคำถามว่า ข้อเท็จจริงที่พูดนั้น ตรงไปตรงมาหรือไม่ เมื่อตอบแบบนี้ ต้องตั้งคำถามกับนายกรัฐมนตรีที่กำกับหลายกระทรวงกับภัยพิบัติ เมื่อส่งมาตอบ แต่ไม่ได้รับคำตอบถูกต้องชัดเจน เมื่อรัฐมนตรีว่าการฯ ไม่ทราบ ก็ฝากให้รีบรับรายงานจากจังหวัดเพราะประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัสมาก ทั้งยังห่วงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะกลายเป็นสารปนเปื้อนตกค้างในทะเล กระทบต่อจำนวนสัตว์น้ำระยะยาว และก่อเป็นสารก่อมะเร็ง เพราะการใช้สารเคมี เคยมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารในทะเล และกระทบกับระบบนิเวศน์ ธรรมชาติ และชาวประมง ไม่ใช่เพียงควบคุมสถานการณ์ แต่ควรต้องชดเชยผลกระทบในระยะยาวให้เป็นธรรม รวมถึงแผนฟื้นฟูธรรมชาติ ทั้งสัตว์ทะเล ชายฝั่ง แผนป้องกันภัยพิบัติ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในอนาคต
นายวราวุธ ชี้แจงว่า สารที่ใช้กำจัดน้ำมัน มีองค์ประกอบไฮโดรคาร์บอน ที่สามารถรวมตัวกับน้ำ และรวมกับน้ำมันได้ เมื่อสารควบรวมแล้วจะทำให้น้ำมันแตกตัวลงระดับที่ตาเปล่ามองไม่เห็นทำให้จุลินทรีย์ในทะเลกัดกินก้อนน้ำมันขนาดเล็ก 1-2 เดือนและย่อยสลาย ส่วนระยะยาวจะเป็นสารก่อมะเร็งหรือไม่ จะนำไปสอบถาม แต่เบื้องต้นพบว่า สารที่ใช้ปลอดภัยระดับหนึ่ง เพราะเป็นฟู้ดเกรด ไม่ต่างจากน้ำยาล้างจานที่ใช้ในครัวเรือน โดยใช้สารดังกล่าวไป 8.5 หมื่นลิตรกับปริมาณน้ำมันดิบรั่ว 5 หมื่นลิตร เพราะต้องใช้สารฉีดดักไว้ก่อน แผนฟื้นฟูที่ดีที่สุดคือจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ธรรมชาติทรงพลัง หากให้เวลาธรรมชาติจะฟื้นฟูด้วยตัวเอง
น.ส.เบญจา ได้ขอเวลาช่วงท้าย เพื่อบอกว่า จะนำปูที่ชาวบ้านพื้นที่จ.ระยองขายไม่ได้ ฝากไปให้รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และขอให้โพสต์ลงโซเชียลมีเดียด้วยว่า มีความปลอดภัยย ทำให้นายวราวุธ กล่าวตอบว่าขอบคุณสำหรับปู และอย่าลืมน้ำจิ้ม เพราะผมชอบน้ำจิ้ม.-สำนักข่าวไทย
