กรุงเทพฯ 20 ม.ค.-“วันวิชิต” ระบุเปิดตัวสร้างอนาคตไทยยังไม่เปรี้ยง สิ่งสำคัญการต่อรองการเมืองคือส.ส.ในมือ ขณะ “อุตตม-สนธิรัตน์” ยังติดภาพเข้าถึงยาก ถาม “สมคิด”จะร่วมออกหน้าเคียงข้างหรือไม่
นายวันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์การเปิดตัวพรรคสร้างอนาคตไทยนำโดย นายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่า ทั้งนายอุตตมและนายสนธิรัตน์มีภาพของการออกจากบ้านเก่าที่พรรคพลังประชารัฐ จึงจะเป็นการสบโอกาสของคนที่คิดว่าพรรคพลังประชารัฐขายต่อในตลาดการเมืองไม่ได้ จะเป็นโอกาสผ่องถ่ายส.ส.ส่วนหนึ่งจากพรรคพลังประชารัฐ มาอยู่กับพรรคสร้างอนาคตไทย
“แต่ตอนที่ทั้งสองคนเป็นรัฐมนตรีนั้น ไม่ถือว่าโดดเด่นหรือหวือหวาเท่าใดนัก เพราะเป็นภาพที่อยู่ใต้ร่มเงาอิทธิพลการกำกับของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อีกทั้งพรรคการเมืองที่เคยอยู่กับนายสมคิดก่อนหน้านี้อย่างพรรคไทยรักไทย ก็อ่านรูปการณ์ออกว่านายสมคิดมีวิธีคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร จึงไม่มีความใหม่ แม้ภาพลักษณ์จะได้รับการยอมรับระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับเป็นความคาดหวังได้” นายวันวิชิต กล่าว
นายวันวิชิต กล่าวว่า การตั้งพรรคครั้งนี้ ถูกตั้งคำถามว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ออกมาจากพลังประชารัฐด้วยอาการเจ็บปวดที่พล.อ.ประยุทธ์ก็พูดอะไรไม่ได้ จึงถือเป็นการทบทวนความทรงจำของการกลับมาของนายอุตตม นายสนธิรัตน์มากกว่า ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ภาพของการถูกเปิดจุดอ่อนสมัยนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ดูแลพรรคพลังประชารัฐเรื่องไม่ใกล้ชิดกับ ส.ส.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าจะปรับจูนแก้ไขได้มากน้อยเพียงใด
เมื่อถามว่า ทั้งสองคนจะทำได้ดีขึ้นหรือไม่ในเรื่องความใกล้ชิดกับส.ส. นายวันวิชิต กล่าวว่า นายอุตตมและนายสนธิรัตน์ไม่มีจุดเด่น การจะทำให้นักการเมืองรู้สึกไว้ใจจึงเป็นไปได้ยากและต้องใช้เวลา ฐานเสียงของทั้งสองคนคงต้องโฟกัสไปที่กระแสคะแนนของชนชั้นกลางอย่างตลาดของกทม. เพื่อชูความเชื่อมั่นและความหวังใหม่ของชนชั้นกลางในวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังแก้ไขมากกว่า นักเลือกตั้งที่จะมาอยู่กับพรรคนี้ต้องคิดหนักว่าจะมีอำนาจต่อรองมากเพียงใด ส่วนพรรคนี้จะถึงขั้นเป็นที่หนึ่งหรือไม่ ต้องดูจำนวน ส.ส.ที่ไหลเข้ามาในพรรคหรือมีบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้ามาร่วมทำงานด้วยหรือไม่ จึงจะประเมินได้
ส่วนกรณีเปิดตัวนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และนายสันติ กีระนันท์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรค นายวันวิชิต มองว่า ไม่น่าช่วยได้มาก อย่างนายนิพิฏฐ์ แม้จะมีของในมือ แต่ก็เคยล้มเหลวมาก่อนสมัยอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการที่ออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์นั้น ฐานเสียงก็ไม่น่าจะติดตัวออกมาเท่าใดนัก แต่อาจจะพอเป็นกระบอกเสียงได้ ขณะที่นายสันติไม่ได้มีภาพของความหลากหลายให้คนรู้จัก จึงถือว่ายังไม่ใช่ตัวเปรี้ยง
“สิ่งสำคัญของการเลือกตั้งคือการระดมส.ส.เขตเข้ามาในพรรคให้ได้มากที่สุด เพราะอย่าลืมว่าถ้าต้องสู้กับพรรคก้าวไกลและพรรคกล้า โจทย์นี้จึงไม่ง่าย อีกทั้งระบบการเลือกตั้งใหม่ให้ความสำคัญกับ ส.ส.เขตมากขึ้น การมีส.ส.เขตในมือ อำนาจต่อรองจะมากขึ้น หากตั้งพรรคมาเพื่อเอาภาพลักษณ์ที่ดี ก็ไม่มีอำนาจต่อรองเท่ากับการรวบรวม ส.ส.เขตไว้ในมือ” นายวันวิชิต กล่าว
เมื่อถามว่า มองอย่างไรเมื่อแกนนำพรรคยืนยันชัดเจนว่าจะไม่เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายวันวิชิต กล่าวว่า เป็นจุดหนึ่งที่ต้องการหยั่งกระแสเสียง เพราะประเมินแล้วว่าพล.อ.ประยุทธ์ไปต่อได้ยาก จึงเลือกโจทย์ที่จะแยกภาพออกมา แต่หากเป็นภาพของนายสมคิดจะมีภาพของความรอบรู้ เป็นที่ไว้วางใจจากนานาชาติมากกว่า แต่ปัญหาของนายสมคิดอยู่ที่สุขภาพมากกว่า อีกทั้ง นายสมคิดจะกล้าที่จะมาขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ก้าวไปข้างหน้ามากกว่าสองขุนพลข้างกายหรือไม่
ส่วนพรรคสร้างอนาคตไทยจะเป็นพรรคการเมืองขนาดใดในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายวันวิชิต กล่าวว่า ถ้าขึ้นได้ขนาดกลางก็เยี่ยมยอดแล้ว แต่ถึงขั้นจะชนะจำนวน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยนั้น คิดใหญ่เกินไป จนกว่าจะมี ส.ส.เขตในมือมากแล้วค่อยประเมินใหม่อีกครั้งจะดีกว่า.-สำนักข่าวไทย