ทำเนียบ 15 ก.ย.- “พล.อ.ประวิตร” ประชุม คกก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สั่งถอดบทเรียนเพลิงไหม้ บ.หมิงตี้ เคมิคอล ป้องกันซ้ำรอย กำชับ ทส. คุมเข้มน้ำทิ้ง ไอเสียรถยนต์ ขยะบนเกาะ ย้ำทุกจังหวัดต้องมีเตาเผาขยะมูลฝอยติดเชื้อ
พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายวราวุธ ศิลปอาชา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมประชุม
ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบโครงการที่สำคัญ ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง เช่น โครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ชุดที่ 1-2 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อเสริมความมั่นคง ระบบไฟฟ้าในภาคใต้ และสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น, โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองแนวใหม่ สาย อ.หาดใหญ่-ชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจภาคใต้ ของกรมทางหลวง, โครงการอ่างเก็บน้ำ น้ำญวน จ.พะเยา เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง ของกรมชลประทาน
ที่ประชุมยังได้เห็นชอบมาตรการป้องกันการเกิดเหตุการณ์ กรณีเพลิงไหม้โรงงานเม็ดโฟมและพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด จ.สมุทรปราการ โดยให้จัดทำมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติภัยสารเคมีในโรงงาน ,มาตรการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และมาตรการจัดการมลพิษในสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น ยังได้เห็นชอบให้ควบคุมค่ามาตรฐานก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และก๊าซไฮโดรคาร์บอนจากไอเสียรถยนต์ใช้งานขนาดเล็ก โดยให้ครอบคลุมรถยนต์มาตรฐานยูโร 4 และรถยนต์ไฮบริด รวมถึงควบคุมการระบายน้ำทิ้ง/น้ำเสีย จากสถานประกอบการขนาดเล็ก และได้เห็นชอบ มาตรการแก้ปัญหาจัดการขยะมูลฝอย บนเกาะทั้ง 14 เกาะ ซึ่งพล.อ.ประวิตร ได้สั่งการเพิ่มเติมให้ทุกจังหวัด ต้องมีเตาเผามูลฝอยติดเชื้อ จังหวัดละ1 แห่งด้วย พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ทส.,มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องกำกับ ควบคุมโครงการต่างๆให้เป็นไปตาม EIA และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมโดยเคร่งครัด การก่อสร้างถนน บริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ และส่งเสริมเศรษฐกิจร่วมกัน การควบคุมน้ำทิ้ง ,ขยะมูลฝอย และไอเสียรถยนต์ ต้องบังคับใช้กฎหมายจริงจัง โดยเฉพาะโรงงานสารเคมี จะต้องมีมาตรการป้องกันเพลิงไหม้ ที่เข้มงวด และต้องไม่เกิดขึ้นอีกโดยเด็ดขาด .-สำนักข่าวไทย