กรุงเทพฯ 12 พ.ค.-รมว.ดีอีเอส ยันต้องดำเนินคดีนักข่าวไทยพีบีเอส พร้อมผู้ใช้เฟซบุ๊ก -ทวิเตอร์อีก 2 ราย กรณีเฟคนิวส์สาวอุดรฯ แพ้วัคซีน พบ 1 เดือนสำนักข่าวแห่งนี้เสนอข่าวผิด 3 ครั้ง แม้จะขอโทษแล้วแต่จำเป็นต้องเอาผิด ชี้สื่อต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าคนทั่วไป
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกรณีสื่อหลายสำนักรายงานข่าวว่ามีหญิงสาวรายหนึ่งที่รับวัคซีนซิโนแวคที่ จ.อุดรธานี เกิดผลข้างเคียง มีอาการชาทั้งตัว มีเลือดออกในสมอง โดยนำภาพของผู้ป่วยรายหนึ่งที่โรงพยาบาลหนองม่วง จ.ลพบุรี ที่มีอาการแพ้ยา มีผื่นแดงเต็มตัว มาเผยแพร่ประกอบข่าวจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่า ได้รับรายงานจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) รวมทั้งมีผู้ร้องเรียนเข้ามาที่กระทรวงดีอีเอส จึงสั่งการให้ตรวจสอบตั้งแต่ต้นและพบว่าต้นตอของข่าวมาจากผู้ใช้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ รวม 3 ราย ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
“วานนี้(11 พ.ค.) ผมมอบหมายให้ผู้แทนกระทรวงดีอีเอสเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้องดำเนินคดีต่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Wadfhan Niphawan” ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ชื่อ “@tuykallaya” และผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “กะทิ จ้า” แม้ทราบว่าทั้ง 3 รายได้ลบโพสต์ออกไป และบางรายได้โพสต์ขอโทษแล้ว แต่จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้เป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้ที่จะโพสต์หรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังต่อสู้กับโควิด-19 ที่เป็นเรื่องความเป็นความตาย รัฐบาลยกระดับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ ขณะที่หลายภาคส่วนร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีน แต่ยังมีขบวนการที่พยายามดิสเครดิต สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคม จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด” นายชัยวุฒิ กล่าว
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ได้ตรวจสอบบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “กะทิ จ้า” ซึ่งพบว่าประกอบอาชีพสื่อมวลชน มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยบรรณธิการข่าวเช้า สำนักข่าวไทยพีบีเอส ซึ่งที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่สื่อมวลชนของสำนักข่าวไทยพีบีเอสว่านำเสนอข่าวผิดพลาดอย่างน้อย 2 ครั้ง 1 เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 นำเสนอข่าวชาวอินเดียเช่าเครื่องบินเหมาลำเข้ามาในประเทศไทยช่วงกลางเดือนเมษายน ครั้งที่ 2. เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม กรณีข่าวประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีต่อเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่เป็นเพียงการคาดการณ์ ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงในระยะเวลาไล่เลี่ยกันอย่างผิดสังเกต แล้วยังมีคนระดับบรรณาธิการมาโพสต์ข้อมูล ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนอีก
“ช่วงเวลา 1 เดือนสำนักข่าวไทยพีบีเอสนำเสนอข่าวผิดถึง 2 ครั้ง และมีพนักงานนำเฟคนิวส์มาเผยแพร่จนสื่อมวลชนสำนักอื่นนำข้อมูลดังกล่าวไปผลิตซ้ำ รวมแล้วเกิดเฟคนิวส์ที่มีจุดเริ่มต้นจากสำนักข่าวไทยพีบีเอส 3 ครั้ง จนทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่น แม้เป็นสื่อมวลชน หากกระทำผิดก็ไม่ละเว้น ยิ่งต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพราะสื่อมวลชนควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงกว่าคนทั่วไป ต้องมีภูมิคุ้มกันสูงกว่า และเป็นผู้เสริมภูมิคุ้มกันในการเสพข่าวทางสังคมออนไลน์ให้กับประชาชน เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนนำเสนอ ไม่ควรปล่อยให้ออกข่าวผิดพลาด และบ่อยครั้ง จนมีคำถามถึงเจตนาที่แท้จริงของสำนักงานแห่งนี้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อสาธารณะ” นายชัยวุฒิ กล่าว
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมาสำนักข่าวไทยพีบีเอสจะขอโทษที่นำเสนอข้อมูลคลาดเคลื่อน แต่ได้สร้างความสับสนและสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะการกระทำผิด 3 ครั้งภายใน 1 เดือน เป็นวิสัยที่ผิดปกติ และเกรงว่าหากไม่ดำเนินการตามกฎหมายจะมีการกระทำผิดครั้งต่อไปเกิดขึ้นอีก.-สำนักข่าวไทย