ทำเนียบรัฐบาล 5 พ.ค.-นายกฯแถลงมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิดทั้งระยะสั้น-ยาว ย้ำไม่ท้อ ไม่หยุดคิด ไม่หยุดทำเพื่อช่วยประชาชนให้ปลอดภัย ให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแข็งแรง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง โดยนายกรัฐมนตรี แถลงผ่านเพจไทยคู่ฟ้าา ที่ประชุมครม.ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เยียวยาประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยแบ่งเป็นมาตรการดังต่อไปนี้ มาตรการระยะที่ 1. มาตรการด้านการเงิน คือ มาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการและเกษตรกร โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายละ 10,000 บาท ด้วยหลักเกณฑ์ที่ผ่อนปรนกว่าสินเชื่อปกติ ดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 ปี ปลอดชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
“มาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือ SFIs โดยให้ SFIs ขยายระยะเวลาพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ ออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อลดภาระและสามารถนำเงินที่จะต้องชำระหนี้ไปเป็นเสริมสภาพคล่อง ซึ่งจะจากผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อดูแลลูกหนี้ได้อย่างเหมาะสม มาตรการด้านการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย โดยภาครัฐจะลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าและน้ำประปาของประชาชน และกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2564 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและกิจการที่ถูกปิด” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการต่อเนื่องด้านการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ประกอบด้วย 2 โครงการ วงเงินรวมประมาณ 85,500 ล้านบาท ได้แก่การเพิ่มวงเงินโครงการเราชนะ อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้สิ้นสุดเวลาการใช้จ่ายในเดือนมิถุนายน 2564 วงเงินรวมประมาณ 67,000 ล้านบาท การเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนโครงการ ม.33 เรารักกัน อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้สิ้นสุดเวลาการใช้จ่ายในเดือนมิถุนายน 2564 วงเงินรวมประมาณ 18,500 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของมาตรการระยะที่ 1 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการในส่วนของมาตรการด้านการเงินทั้ง 2 เรื่องตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และเห็นชอบให้ดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายน้ำประปา และไฟฟ้า ในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายนแล้ว
“สำหรับการเพิ่มเงินในโครงการเราชนะและโครงการ ม.33 เรารักกันจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้าต่อไป นอกจากนี้จะมีมาตรการต่อเนื่องอื่น ๆ อีก เช่น การช่วยเหลือลูกหนี้กยศ. โดยขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมสู้ภัยโควิดออกไปจนสิ้นปีนี้ ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.01 ซึ่งจะมีผู้ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ประมาณ 3 ล้านคน รวมทั้งการชดเชยผู้ประกันตนตาม ม.33 ที่ต้องกักตัวหรือต้องหยุดทำงาน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนนตรี กล่าวว่า รัฐบาลวางแผนช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องไปอีกถึงอย่างน้อยสิ้นปีนี้ ด้วยมาตรการระยะที่ 2 ในช่วงเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2564 ซึ่งคาดว่าถ้าเราร่วมมือกันเพื่อจำกัดการระบาดอย่างเต็มที่ สถานการณ์การระบาดน่าจะคลี่คลายลงจนอยู่ในระดับที่สามารถดำเนินมาตรการระยะที่ 2 ได้ ซึ่งประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก กรอบวงเงินประมาณ 140,000 ล้านบาท ได้แก่ มาตรการลดภาระค่าครองชีพ มี 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 ให้เดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 ครอบคลุมประชาชนประมาณ 13 ล้าน 6 แสนคน โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ให้เพิ่มเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 ครอบคลุมประชาชนประมาณ 2 ล้าน 5 แสนคน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง และรายได้สูง 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งเป็นโครงการใหม่โดยภาครัฐจะสนับสนุนบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) ให้แก่ผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เมื่อชำระเงินผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับผู้ประกอบการร้านค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อสูงให้นำเงินออกมาใช้จ่ายและสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการระยะที่ 2 ทั้ง 4 โครงการข้างต้นจะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกว่า 51 ล้านคน คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 473,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีโอกาสขายสินค้า และบริการได้มากขึ้น ซึ่งมาตรการในระยะที่ 2 นี้ ครม.ได้รับทราบในหลักการ และหน่วยงานที่รับผิดชอบจะเร่งดำเนินการเพื่อขออนุมัติจาก ครม. ต่อไป
“ทั้งหมดนี้คือการดำเนินการอย่างเต็มที่ของรัฐบาลและศบค.ในการบริหารจัดการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด ทั้งด้านการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาด และการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศบค.จะไม่มีวันท้อถอยหรือท้อแท้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาใด และจะไม่หยุดคิดและทำเพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกคนให้ปลอดภัย ให้ประเทศไทยที่รักของเราทุกคน ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแข็งแรง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่านายกรัฐมนตรีแถลงตามสคริปต์ที่เตรียมมาจำนวน 8 หน้า โดยเน้นเรื่องมาตรการและการป้องกัน รวมถึงการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที ซึ่งในสคริปต์ได้ใช้ตัวหนาเน้นให้เพิ่มน้ำหนักเสียง เน้นประโยคที่สำคัญในการแถลงบางประโยคด้วย ซึ่งการแถลงข่าววันนี้นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบคำถาม ทั้งเรื่องการนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ ประเด็นที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกระแสความเคลื่อนไหวเรื่องการย้ายประเทศที่สื่อมวลชนส่งคำถามไปยังทีมงาน.-สำนักข่าวไทย
