กรุงเทพฯ 9 ต.ค.- “ยุทธพร” เชื่อชุมนุม 14 ต.ค. มุ่งเปลี่ยนรัฐบาล เหตุไม่ต้องการแตะประเด็นอ่อนไหว ที่จะทำมวลชนหดหายจาการชุมนุม ชี้ “คณะราษฎร” พยายามสร้างภาพเป็นพลังบริสุทธิ์ แนะฝ่ายการเมืองเร่งจัดเวทีสาธารณะ-เวทีปิด พุดคุยประเด็นละเอียดอ่อน ขจัดความขัดแย้ง
นายยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และกฎหมายมหาชนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรในวันที่ 14 ตุลาคม ว่า จะเห็นได้ก่อนหน้านี้มีการรวมกลุ่มกันของกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประชาชนปลดแอก กลุ่มนักเรียนเลว จนมารวมเป็นคณะราษฎรในวันนี้ สะท้อนว่าโอกาสที่เราจะได้เห็นการชุมนุมใหญ่ ที่มีการเพิ่มขึ้นของมวลชน รวมถึงการชุมนุมที่มีการยืดเยื้อมากกว่า 1-2 วัน มีโอกาสที่เป็นไปได้ ซึ่งก็สะท้อนกระบวนการในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ควรต้องเริ่มเดินหน้าได้แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ทั้งฝ่ายรัฐ หรือฝ่ายผู้ชุมนุมต่างก็ช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ ไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น เพราะถ้าความรุนแรงเกิดกับฝ่ายใดก่อน แน่นอนว่าความเสียเปรียบก็จะตกอยู่กับฝ่ายนั้น
นายยุทธพร กล่าวว่า จากนี้ไปความเสี่ยงที่จะรุนแรงก็ยังคงมีอยู่ ทุกการชุมนุมมีโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงได้ ฉะนั้นก่อนที่จะไปสู่จุดนั้นในระยะสั้น ควรจะต้องมีกลไกทั้งในเรื่องการเปิดพื้นที่ การพูดคุย หรือแม้แต่การมีเวทีสาธารณะ เวทีปิดต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นกลไกในการขจัดความขัดแย้งให้เร็วที่สุด ส่วนระยะกลาง แน่นอนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นพื้นที่สาธารณะหรือเป็นเวทีใหญ่ที่สำคัญที่จะทำให้ทุกอย่างสามารถคลี่คลายได้ในระดับหนึ่ง ส่วนระยะยาวก็ควรจะเป็นเรื่องของการกำหนดการพัฒนาประชาธิปไตยที่มั่นคงแข็งแรงในประเทศไทย
“แต่ระยะสั้นและระยะกลาง ควรเป็นสิ่งที่กลไกในทุกภาคส่วนมีส่วนช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในสภา ส.ส. ส.ว. พรรคการเมือง หรือกลุ่มผู้ชุมนุมเอง หรือคนที่อยู่ในภาครัฐต่าง ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ จึงเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้การชุมนุมในวันที่ 14 ต.ค.นี้ไปในทิศทางไหน” นายยุทธพรกล่าว
เมื่อถามว่าประเด็นในการเคลื่อนไหววันที่ 14 ตุลาคม เปลี่ยนเป็นการล้มล้างรัฐบาล ซึ่งต่างจากการชุมนุมวันที่ 19 กันยายน ที่เน้นไปที่สถาบันฯ นายยุทธพร กล่าวว่า การรวมกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมต้องมีการเฉลี่ยในเรื่องของการระดมทรัพยากร มวลชน ยุทธศาสตร์ หรือความคิดต่าง ๆ แน่นอนว่า 3 ข้อเสนอของคณะราษฎรที่ระบุว่ายังคงอยู่ในการเคลื่อนไหววันที่ 14 ตุลาคมนี้ ก็คือการประมวลบรรดาข้อเสนอของแต่ละกลุ่มเข้ารวมไว้ด้วยกัน แต่ทั้งนี้ยุทธศาสตร์หลักของการชุมนุมในครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล คือการเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก และนำไปสู่การยุบสภา ซึ่งก็อาจจะเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องการจะไปแตะประเด็นที่มีความอ่อนไหวและอาจจะไปกระทบกับเรื่องของมวลชน หรือบรรดากลุ่มที่อาจจะถอยห่างออกจากสนับสนุน
นายยุทธพร ยังมองว่า การที่กลุ่มคนเสื้อแดงหรือพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยร่วมชุมนุมด้วยครั้งก่อนแสดงท่าทีไม่เข้าร่วม ว่า กระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่จะถูกหยิบโยงไปเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในอดีตอาจจะเสียความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว จะเห็นได้ว่าการแถลงข่าวของคณะราษฎรไม่ได้มีการพูดถึงบรรดากลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ที่เคยมาร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน ซึ่งก็เป็นความพยายามของกลุ่มที่จะสร้างภาพของกลุ่มให้เกิดภาพของพลังบริสุทธิ์ ซึ่งเกิดจาการรวมกันของกลุ่มเยาวชน นักศึกษา แต่ทั้งนี้แม้ไม่ได้มีเรื่องของการออกมาร่วมชุมนุมเคลื่อนไหว แต่ก็อาจจะมีแนวร่วมร่วมหนึ่ง ซึ่งก็มีการสนับสนุนในเรื่องของอุดมการณ์หรือแนวคิดที่สอดคล้องร่วมกันอยู่
ส่วนข้อเสนอ 3 ข้อโดยเฉพาะประเด็นสถาบันจะมีความเป็นไปได้ และอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมหรือไม่ นายยุทธพร มองว่า ประเด็นที่มีความอ่อนไหว ก็ต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังและอยู่ในกรอบกฎหมาย เพราะฉะนั้นบรรดาข้อเสนอ หากมีเวทีในการพูดคุยแบบเวทีปิด น่าจะมีความเหมาะสมกว่า และจะทำให้เกิดการเข้ามามีส่วนร่วมของหลาย ๆ ฝ่ายในการพูดคุย ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยหลักประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ แล้วก็หาทางออกร่วมกัน ดังนั้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นว่าตลอดการเคลื่อนไหว เราพูดถึงการมีเวทีการพูดคุยมาโดยตลอด แต่ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีเวทีเกิดขึ้นอย่างจริงจัง
“เพราะฉะนั้นวันนี้ ก็ถึงเวลาจำเป็นที่จะต้องรีบเร่งในการมีเวที โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกำหนดประเด็นว่าอะไรสามารถที่จะพูดคุยได้ในพื้นที่สาธารณะ หรือประเด็นไหนอ่อนไหวก็จะต้องคุยในเวทีปิด ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นจากประเด็นความอ่อนไหวลดน้อยลงไปด้วย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ” นายยุทธพร กล่าว .-สำนักข่าวไทย