รัฐสภา 7 ส.ค.-สส.พรรคประชาชน ยกกรณีคดีเขากระโดง-ที่ดินอัลไพน์ มีรากฐานปัญหามาจากระบบราชการไทยที่อ่อนแอ จนเป็นเหตุให้ข้าราชการไม่ยืดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการปฏิบัติหน้าที่ สะท้อนต้องปฏิรูประบบราชการใหม่และฟื้นฟูหลักนิติธรรมของประเทศครั้งใหญ่
นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวถึงกรณีเขากระโดง-ที่ดินอัลไพน์ ว่าหลังจากที่กระทรวงมหาดไทยได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนใหม่มาสักพัก และขณะนี้ดูเหมือนว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำลังเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินราว 5,000 กว่าไร่ บริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ตนเห็นว่ารัฐบาลควรจะต้องสะสางปัญหาที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์เช่นกัน เพราะทั้ง 2 กรณีมีความเหมือนกันอยู่หลายประการ คือ ทั้ง 2 กรณีเกี่ยวกับการทำงานของระบบราชการในอดีตที่ไม่ยึดหลักกฎหมายแต่เอื้อประโยชน์แก่ผู้มีอำนาจในยุคใดยุคหนึ่ง อีกทั้ง ทั้ง 2 กรณีเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่อยู่อาศัยบนที่ดินจำนวนมาก ประชาชนไม่สามารถทำนิติกรรมที่ดินได้จนถึงทุกวันนี้ และทั้ง 2 กรณีก็กำลังมีการดำเนินคดีอยู่ในศาลเช่นกัน ตนจึงมองไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลถึงมีการเร่งรัดกรณีหนึ่ง แต่อีกกรณีหนึ่งรัฐบาลกลับนิ่งเงียบ พร้อมระบุว่า หากรัฐบาลยังนิ่งเฉยกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ต่อไป ตนมีความเห็นว่าการเร่งรัดกรณีเขากระโดงในขณะนี้ถูกทำให้เหมือนว่ารัฐบาลกำลังทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่เกรงว่าน่าจะเป็นการตอบโต้ชั่วครั้งชั่วคราวกันทางการเมืองของพรรคการเมือง ทำพอเป็นข่าวที่ดูเหมือนจะเอาจริง แต่หากมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป และพรรคการเมือง 2 พรรคที่เกี่ยวข้องกลับมาร่วมรัฐบาลกัน เรื่องเขากระโดงและที่ดินอัลไพน์ก็จะจางหายไปเช่นเดิม เป็นเหมือนมวยล้มระหว่างนักการเมืองเพื่อต้มคนดู ทำให้ประชาชนในพื้นที่ ทั้งที่เขากระโดงและในพื้นที่หมู่บ้านติดสนามกอล์ฟอัลไพน์หลายพันครอบครัว ก็ไม่ได้รับการแก้ปัญหา ดังนั้น ตนจึงอยากชวนให้มองภาพใหญ่กว่ากรณีเขากระโดงและกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ว่ารากฐานของปัญหาคือระบบราชการไทยที่อ่อนแอ จนเป็นเหตุให้ข้าราชการไม่ยืดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการปฏิบัติหน้าที่โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการปกป้องประโยชน์สาธารณะ มีอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต้องรับโทษจำคุกเพื่อแลกเปลี่ยนกับการทำตามที่นักการเมืองต้องการและเพื่อแลกกับการได้รับตำแหน่งทางการเมือง ทั้งกรณีเขากระโดงและสนามกอล์ฟอัลไพน์เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 50 ปีมาแล้ว จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งในหลายพันหลายหมื่นเรื่องที่แสดงว่าการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอและเลือกปฏิบัติในสังคมไทย
นายจุลพงศ์ กล่าวว่า จากการปฏิบัติหน้าที่ สส.และกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการสามัญ 2 คณะในสภาผู้แทนราษฎรมา 2 ปี ตนมองเห็นว่า ประเทศไทยยังมีข้าราชการดีๆอีกเป็นจำนวนมาก หลายคนเป็นคนรุ่นใหม่ และจากตัวอย่างเพียง 2 กรณี คือเขากระโดงและสนามกอล์ฟอัลไพน์ ตนจึงเห็นว่าประเทศไทยต้องการการปฏิรูประบบราชการอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การตั้งกรมใหม่ หรือการเพิ่มตำแหน่งหรือโยกย้ายข้าราชการ นอกจากนี้จะต้องฟื้นฟูหลักนิติธรรมของประเทศครั้งใหญ่ ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี เป็นปลัดกระทรวงหรือนายพลหรือเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่ง.-319.-สำนักข่าวไทย