กรุงเทพฯ 31 ก.ค.- “กัมพูชา” หยิบยกปัญหาชายแดนฟ้องโลก ด้าน “ทูตเชิดชาย” ตอบโต้ทันที ชี้ “เขมร” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างร้ายแรง ใช้อาวุธข้ามพรมแดนอีกครั้ง ติง หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน
เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ระหว่างการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศว่าด้วยการระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธีและการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ
นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างการกล่าวถ้อยแถลง เนื่องจากกัมพูชากล่าวพาดพิงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในเวทีดังกล่าว ซึ่งไทยเข้าร่วมการประชุมโดยมีเป้าหมายร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศในการผลักดันการแก้ปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธีผ่านแนวทางสองรัฐ
ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของไทยมีใจความว่า ประเทศไทยขอแสดงความขอบคุณต่อความพยายามและความมุ่งมั่นร่วมกันในการจัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น เพื่อยืนยันเจตจำนงทางการเมืองและความมุ่งมั่นร่วมกันของเราต่อสันติภาพและเสถียรภาพที่ยั่งยืนในตะวันออกกลาง
การประชุมที่รอคอยมาอย่างยาวนานนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างยุติธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ
น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทน ได้หยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา แม้ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญนี้ แต่ขออนุญาตชี้แจงข้อเท็จจริงโดยสังเขปเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ได้มีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ผ่านความช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากข้อตกลงมีผลในวันที่ 29 กรกฎาคม ประเทศเพื่อนบ้านของเราได้กลับมาใช้อาวุธข้ามพรมแดนและบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี
ประธานร่วมที่เคารพ สถานการณ์อันเลวร้ายในฉนวนกาซาที่มีความรุนแรงต่อเนื่อง ความทุกข์ทรมานด้านมนุษยธรรม และการพลัดถิ่นจำนวนมาก รวมถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ล้วนเรียกร้องให้มีการเจรจาและความพยายามครั้งใหม่เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพ ขออนุญาตเน้นย้ำข้อคิดเห็นดังต่อไปนี้
ประการแรก ประเทศไทยขอยืนยันการสนับสนุนแนวทางสองรัฐซึ่งเป็นหนทางเดียวที่นำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน โดยต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศและมติของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง โดยที่รัฐอิสราเอลและรัฐปาเลสไตน์อยู่ร่วมกันอย่างสันติและมั่นคง
แนวทางที่ครอบคลุมเป็นสิ่งจำเป็น ประเทศไทยสนับสนุนทุกความพยายามของสหประชาชาติ หุ้นส่วนระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ รวมถึงสันนิบาตอาหรับ องค์การความร่วมมืออิสลาม และประเทศที่รักสันติภาพทั้งหลาย เพื่อส่งเสริมการเจรจาที่สร้างสรรค์และสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อสันติภาพ ความไว้วางใจต้องได้รับการฟื้นฟูผ่านมาตรการสร้างความเชื่อมั่น การมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ และการทูตแบบครอบคลุมที่คำนึงถึงข้อกังวลและความหวังของทุกฝ่าย
ประการที่สอง ประเทศไทยยังคงเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอย่างยั่งยืน และการปล่อยตัวตัวประกันที่เหลืออยู่ทั้งหมดอย่างทันทีและไม่มีเงื่อนไข ด้วยเหตุที่มีชาวไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว เราจึงตระหนักถึงความสูญเสียของมนุษย์ที่แผ่ขยายเกินกว่าภูมิภาคนั้น สันติภาพในตะวันออกกลางจึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทุกคน
ประการที่สาม การคุ้มครองพลเรือนยังคงเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก เราสนับสนุนการจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างปลอดภัย ทันที และไม่ถูกขัดขวาง ตามหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ประธานร่วมที่เคารพ วันนี้ ขอให้เรายืนยันเจตจำนงร่วมกันที่จะยุติความขัดแย้งนี้อย่างถาวรผ่านการเจรจาที่สร้างสรรค์และแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ขอให้ประวัติศาสตร์จดจำเราไม่ใช่เพราะความเพิกเฉย แต่เพราะความกล้าหาญของเราในการดำเนินการเพื่อสันติภาพ แทนที่จะเลือกเส้นทางแห่งความขัดแย้ง -312-สำนักข่าวไทย