พปชร. จี้ ครม.ทบทวน ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน

พปชร. 17 ก.พ.-พปชร. จี้ ครม.ทบทวน ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน ชี้ตรากฎหมายไม่สามารถบรรลุเป้าได้จริง อาจหวังรวบอำนาจนโยบายการเงินจาก ธปท.

นายอุตตม สาวนายน ประธานกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ และนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ แถลวคัดค้านร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ….


นายอุตตม ตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อ ร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. ได้ดำเนินการอย่างครบถ้วน รอบคอบ และเพียงพอแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะการหารือกับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น ธปท. ก.ล.ต. และหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ ธปท. เพิ่งมีหนังสือถึงคณะรัฐมนตรีแสดงข้อสังเกตต่อ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้านเนื่องจากกฎหมายนี้เกี่ยวข้องกับระบบการเงินที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจ อาทิ การให้คณะกรรมการฯ ตามกฎหมายนี้มีอำนาจกำหนดประเภทธุรกิจ และเกี่ยวเนื่องไปถึงการให้ใบอนุญาต การกำกับดูแลในรูปแบบที่ค่อนข้างเหมารวม ซึ่งในทางปฏิบัติจะต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่และกระบวนการของหน่วยงานกำกับใช้อยู่แล้วในปัจจุบัน รวมถึงต้องระมัดระวังไม่ให้เปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงทางการเมือง

“ผมสนับสนุนให้มีกลไกรองรับการประชุมหารือร่วมกันเป็นประจำระหว่างกระทรวงการคลังและหน่วยงานกำกับด้านการเงินต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิด และการวิเคราะห์ ทั้งในภาวะปกติ และเมื่อมีสัญญาณของการเกิดวิกฤต เพื่อให้สามารถสร้างความพร้อมในการรับมือวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ รวมถึงการระดมความคิดในการพัฒนาระบบการเงิน ตลาดทุนและที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องและเหมาะสมกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศโดยรวมกลไกหารือเช่นนี้สามารถจัดตั้งได้ทันทีโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรีด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะไม่เกิดปัญหาและความซ้ำซ้อนในการดำเนินการของหน่วยงานที่ดูแลอยู่แล้ว”นายอุตตม กล่าว


นายอุตตม กล่าวว่า กฎหมายเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการเงินได้ เพราะนักลงทุนจะเลือกประเทศที่พร้อมที่สุด เช่น สิงคโปร์ประสบความสำเร็จด้วย (1) นโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อธุรกิจ อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เหมาะสม พร้อมสิทธิประโยชน์ดึงดูดฟินเทคและกองทุนบริหารสินทรัพย์ กฎระเบียบโปร่งใสภายใต้การกำกับของธนาคารกลางสิงคโปร์ (2) โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแข็งแกร่ง เช่น ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และศูนย์กลางแลกเปลี่ยนเงินตรา ระบบดิจิทัลที่รองรับธุรกรรมทางการเงิน และเครือข่ายธนาคารระดับโลก (3) แรงงานคุณภาพสูงจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และโครงการพัฒนาทักษะด้านการเงินและ ฟินเทค

“หากไทยต้องการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก ต้องสร้างความพร้อมในทุกมิติ ไม่ใช่แค่ออกกฎหมาย แต่รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองที่เป็นรากฐานของความเชื่อมั่น หลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลที่โปร่งใสและเป็นมาตรฐานสากล และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งด้านกฎระเบียบ เทคโนโลยี และบุคลากร หากไม่เร่งปฏิรูปไทยอาจไม่ใช่ตัวเลือกของนักลงทุนในเวทีการเงินโลก” นายอุตตม กล่าว

ด้านนายธีระชัย กล่าวว่า ตนเชื่อว่ารัฐบาลรู้ดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยยังขาดสององค์ประกอบสำคัญในการเป็นศูนย์กลางฯทั้งด้านกฎหมาย และด้านธรรมาภิบาลในด้านกฎหมาย การเชิญชวนสถาบันการเงินระดับโลกให้เข้ามาในศูนย์กลางฯ เพื่อทำธุรกรรม offshore ระหว่างกันที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนนั้น จะเป็นที่สนใจก็ต่อเมื่อศูนย์กลางฯ มีกลไกยุติข้อพิพาทที่รวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากการแทรกแซง ทั้งกลไกอนุญาโตตุลาการและกลไกศาล แต่ระบบกฎหมายของไทยยังไม่สามารถให้ ความมั่นใจได้


นอกจากนี้ เคยมีกรณีที่ศาลไทยไม่ยอมรับคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ และรัฐบาลไทยเองก็ไม่ยอมรับกลไกอนุญาโตตุลาการ ดังนั้น องค์ประกอบนี้จึงเป็นลบชัดเจนในด้านธรรมาภิบาล ดัชนีคอร์รัปชัน Corruption Perception Index ปี 2024 ของไทยก็ต่ำอยู่เพียงอันดับ 107 จาก 180 ประเทศ ไม่อาจเทียบกับสิงคโปร์อันดับ 3 และฮ่องกงอันดับ 17 ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ทีีสถาบันการเงินระดับโลกที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นจะยอมเข้ามาในศูนย์กลางฯ ที่มีอันดับแค่ 107 รัฐมนตรีคลังจึงย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า ในสององค์ประกอบข้างต้นไทยไม่สามารถแข่งขันกับฮ่องกงหรือสิงคโปร์ได้เลย เป้าหมายนี้ไม่สามารถเกิดได้จริง

“ผมสงสัยว่า เป้าหมายแท้จริงอาจไม่ใช่ตลาดนอกประเทศ (offshore) แต่อาจเพื่อออกเงินดิจิทัลสำหรับตลาดในประเทศ (onshore) ด้วยข้อพิรุธ 2ข้อ
ข้อที่หนึ่ง ถึงแม้มติคณะรัฐมนตรีระบุว่า “ให้บริการเฉพาะผู้ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (non-residents) เท่านั้น” แต่ในมาตรา 53 (2) มีการสอดใส้ให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ (residents) เอาไว้ด้วย
ข้อที่สอง หนังสือของกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ระบุว่า “ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย” หมายถึงผู้ที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (non-residents) แต่ในร่าง พ.ร.บ. ได้ตัดเงื่อนไขนี้ออกไป จึงส่อพิรุธว่า เป้าหมายที่แท้จริงอาจเพื่อการออกเงินดิจิทัลที่มีลักษณะเป็นเงินตราสำหรับใช้ในประเทศ“นายธีระชัย กล่าว

ทั้งนี้ นายธีระชัย ตั้งข้อสงสัยว่า ร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายแฝงเพื่อปลดล็อคสองปัญหาเรื่องเงินดิจิทัล ใช่หรือไม่ ปัญหาที่หนึ่ง ปัจจุบันการพิจารณาอนุญาตตามกฎหมายเงินตราต้องผ่าน ธปท.ซึ่งอาจจะไม่เห็นด้วย ร่างมาตรา 10 ปลดอำนาจ ธปท.ไปให้คณะกรรมการพิจารณาแทน ปัญหาที่สอง ปัจจุบันการพิจารณาอนุญาตเชื่อมเงินดิจิทัลกับระบบบาทเนต (Bahtnet) ซึ่งธปท.อาจจะไม่เห็นด้วย ร่างมาตรา 36 ได้ปลดอำนาจในกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงินทิ้งไปเลย

“ผมเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีทบทวน เพราะการตรากฎหมายที่ไม่สามารถบรรลุเป้าประสงค์ได้จริง แต่กลับมีผลแฝงเป็นการรวบอำนาจนโยบายการเงินไปจาก ธปท. จะสร้างความหายนะให้แก่ประเทศ และจะกระทบความน่าเชื่อถือในระดับสากล”.-315.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% ไม่พอใจเข้มปราบแก๊งคอลฯ

กระทรวงวัฒนธรรม 26 ก.ค.- “แพทองธาร” เปิดใจ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยร่วมมือลาว – เมียนมา ปราบคอลเซ็นเตอร์ เผยสื่อนอกยังตั้งข้อสังเกต “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยนางสาวแพทองธารได้ยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่าง ๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า มีสำนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นท์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ […]

“เสธ.เบิร์ด” ชี้เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” ถือเป็นภัยคุกคาม

26 ก.ค.- “เสธ.เบิร์ด” ชี้ เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” วิถีไกล 130 กม. ถือเป็นภัยคุกคาม มองไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. เพื่อพุ่งเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์และที่ตั้งทหารนั้น ล่าสุด พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากการที่กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศเกินกว่าเหตุนั้น เราไม่ทำเกินกว่าเหตุ แต่สิ่งที่เราทำนี้เป็นเหตุผล เพราะฝ่ายกัมพูชา เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนของไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้ประชาชนชาวไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การปฏิบัติการทางอากาศของไทยทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านลดต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย

น่าน 26 ก.ค.- สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองน่าน ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอีกหลายจุดยังอ่วม ท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย ย่านการค้าและเศรษฐกิจสำคัญของเมืองน่าน บริเวณถนนสุมณเทวราช ซึ่งเคยน้ำท่วมสูงเกือบถึงคอ แต่ตอนนี้น้ำลดลงเหลือประมาณหน้าขา เท่ากับลดไปราว 1 เมตร แต่บริเวณโดยรอบยังมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะที่ลุ่มต่ำ ยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจความเสียหายของโรงแรงแห่งหนึ่งกลางเมืองน่าน ซึ่งสภาพภายในเต็มไปด้วยคราบโคลน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดไว้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่เจ้าของร้านค้าย่านนี้ เริ่มสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือที่โรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมสูงเต็มพื้นที่ 40 ไร่ บางจุดท่วมเกือบมิดหัว ตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ตามอาคารต่างๆ น้ำทะลักท่วมยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย แต่ผู้ป่วยใน ราว 3 ร้อยคน ยังปลอดภัย คุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเปิดบริการตามปกติให้เร็วที่สุด ช่วงสายที่ผ่านมา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายใจกลางเขตเศรษฐกิจเมืองน่านด้วย -สำนักข่าวไทย