สภาฯ ถก “กม.อำนาจเรียกของ กมธ.”

รัฐสภา ​18 ธ. ค.-สภาฯ ถก “กม.อำนาจเรียกของ กมธ.” ด้าน หมอชลน่าน ชี้รวมคำว่า “กรรมาธิการสามัญของรัฐสภา” อาจขัดรัฐธรรมนูญ แนะกลับไปใช้ร่างเดิมจะมีประโยชน์กว่า ส่วน “ประยุทธ์” แจงระบุไว้เพื่อให้ กม.นี้มีผลบังคับใช้ ยันไม่ได้เขียนแบบสุขเอาเผากิน ขณะที่ “โรม” ย้ำไม่ขัด-แย้งรัฐธรรมนูญ ขณะที่ “พิเชษฐ์” สั่งโหวตมาตรา4 ทันทีไม่สน “ชลน่าน” ขู่มีคนร้องศาล รธน.แน่

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯเป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)อำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา พ.ศ….ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งเป็นการพิจารณาในวาระสองและวาระสาม​ โดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายในมาตรา 4 บทนิยามคำว่ากรรมาธิการ ว่า ในร่างของกมธ.ฯ ที่ไปแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำ ซึ่งตนเห็นว่าการแก้ไขของกมธ.ฯน่าจะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และข้อเท็จจริงที่มีอยู่ เพราะจากร่างเดิมของสภาฯที่รับไป เขียนให้ครอบคลุมกรรมาธิการ นิยามของกรรมาธิการมีกรรมาธิการสามัญ กรรมาธิการวิสามัญ กรรมาธิการร่วมกัน ของสภาฯและวุฒิสภา และกรรมาธิการวิสามัญในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญกรณีที่มีการประชุมร่วมกันในนามรัฐสภา มีอำนาจเรียกบุคคลหรือเรียกเอกสารได้ แต่ กมธ.ฯ ไปเปลี่ยนถ้อยคำใหม่ว่า กรรมาธิการหมายความว่าคณะกรรมาธิการสามัญและคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาฯ วุฒิสภา หรือรัฐสภา ถ้าเขียนอย่างนี้หมายความว่ารัฐสภา วุฒิสภา หรือสภาผู้แทนฯ มีกรรมาธิการสามัญประจำของแต่ละสภา


นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า จึงอยากถามว่ารัฐสภาเรามีกรรมาธิการสามัญประจำรัฐสภาหรือ เพราะตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญมาจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีบทบัญญัติที่เขียนให้รองรับกรรมาธิการสามัญของรัฐสภา เพราะฉะนั้นถ้าเขียนอย่างนี้จะเหมารวมว่ารัฐสภาสามารถตั้งกรรมาธิการสามัญได้ ตามกฎหมายฉบับนี้ และอาจจะไปออกข้อบังคับมารองรับ แต่สิ่งที่ต้องให้สอดรับคือรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ซึ่งมาตรานี้เขียนชัดเจนไม่มีคำว่ารัฐสภาอยู่เลย ที่ว่าด้วยเรื่องการตั้งกรรมาธิการของสภาผู้แทนฯ วุฒิสภาหรือตั้งกรรมาธิการร่วมกัน แม้แต่กฎหมายที่เขียนรองรับเกี่ยวกับการตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้เขียนในมาตรา 129

“ฉะนั้นผมเห็นว่าถ้าเขียนอย่างนี้ จะเหมารวมว่ารัฐสภาสามารถมีกรรมาธิการสามัญประจำรัฐสภาได้ ซึ่งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผมจึงไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข และเห็นว่าควรเอาคำว่า”หรือรัฐสภา”ออกแล้วรักษาถ้อยคำเดิมเอาไว้ หรือกลับไปร่างเดิมจะเกิดประโยนช์มากกว่า” นพ.ชลน่าน กล่าว


ด้านนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกมธ.ฯ ชี้แจงว่า เห็นตรงกันว่าการมีคณะกรรมาธิการสามัญและวิสามัญนั้นเกิดเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญมาตรา 129 แต่ข้อเท็จจริงคือมีกรรมาธิการที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 137(3) เป็นกรรมาธิการร่วมกันในกรณีที่ตัดสินใจในเรื่องของความเห็นต่างๆ ซึ่งทางกมธ.ฯ ได้พยายามหาความพอดี ถ้าไม่เขียนแบบนี้กรณีที่จะคุ้มครองไปถึงให้อำนาจกรรมาธิการร่วมกันได้หรือไม่ เพราะเกิดขึ้นคนละมาตรา ถ้าเขียนตามาตรา 129 ก็จะมีข้อจำกัดเปิดช่องว่างตามมาตรา 137(3) ทางกมธ.ฯ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเขียนแบบนี้

“จริงๆแล้วคำนิยามไม่สามารถที่จะลบล้างน้ำหนักของกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือน้ำหนักในกฎหมายอื่นได้ เพียงแต่ให้กฎหมายฉบับนี้มีสภาพบังคับเท่านั้น ซึ่งก็เห็นด้วยในความเป็นห่วงของท่าน แต่โอกาสที่จะเขียนเป็นอย่างอื่น ผมยืนยันได้เลยว่าพวกเราไม่ได้สุกเอาเผากิน แต่ก็ใช้ความพยายามที่จะสรรหาถ้อยคำให้เกิดความสมบูรณ์พอสมควร”นายประยุทธ์​กล่าว

ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะกมธ.ฯ ชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญที่เราต้องให้ความกระจ่าง เพราะเราถกเถียงในกมธ.ฯเช่นเดียวกัน การที่เราเติมคำว่า “หรือรัฐสภา”เป็นเรื่องของการให้ความหมายแทนคำว่า “กรรมาธิการร่วมกัน” ให้ครอบคลุมกัน ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นว่ากรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรสามารถที่จะใช้อำนาจเรียกนี้ได้ ในขณะที่กรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภาไม่สามารถใช้ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงกรรมาธิการของรัฐสภามีอำนาจน่าจะสูงกว่าด้วยซ้ำ


นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ว่าการเพิ่มเติมตรงนี้เป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตนขอเรียนว่ากรณีนี้ไม่ได้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเลย ส่วนการตีความจะไม่รวมไปถึงกรณีจะให้มีกรรมาธิการสามัญของรัฐสภา การที่เราจะมีกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภาหรือไม่มันเป็นกฎหมายอื่น กรณีนี้เป็นเรื่องของการใช้อำนาจเรียก ซึ่งปัจจุบันเราไม่มีกรรมาธิการสามัญของรัฐสภา กฎหมายนี้ ไม่ได้มีอำนาจให้เราไปจัดตั้งกรรมาธิการสามัญของรัฐสภา ตามหลักกฎหมายจึงจะรวมแค่กรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภาเท่านั้น

ส่วนนายสฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้องสส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะกมธ.ฯ ชี้แจงว่า กมธ.ฯได้พิจารณาอย่างรอบด้าน หยิบยกเรื่องเดียวคือเรื่องของการประชุมของกรรมาธิการร่วมของรัฐสภา จะเห็นได้ว่าการประชุมร่วมมีอยู่จริง เมื่อมีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ คือ พ.ร.บ.อำนาจเรียกฯฉบับนี้ด้วย และบางเรื่องเราจะเอามาตรา 4 ไปเข้าใจว่าเราจะต้องคณะกรรมการสามัญ หรือวิสามัญ ไม่ได้ เพราะบางเรื่องก็ไม่ต้องเอาคำจำกัดความไปตีความในเรื่องของอำนาจในการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญของสภาฯและคณะกรรมาธิการสามัญของวุฒิสภา แต่ในส่วนของสภาฯ เรามีคณะกรรมาธิการสามัญ 35 คณะ ของวุฒิสภามี 21 คณะ ทั้งนี้ยังจากตนฟังจากหลายฝ่ายยอมรับว่าจะต้องเติมคำว่า”รัฐสภา”เข้าไปเพื่อให้ควบคุม ถ้าไม่เติมเข้าไปกฎหมายอำนาจเรียก ก็จะใช้ไม่ได้ ซึ่งเราได้พิจารณารอบด้านแล้ว

ทั้งนี้นพ.ชลน่าน อภิปรายเพิ่มเติมว่า ถ้าเราไปให้อำนาจที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ตนเชื่อว่ามีคนยื่นศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน และถ้าศาลวินิจฉัยว่าสิ่งที่เราทำไปขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็จะเป็นปัญหา ดังนั้นตนคิดว่ามีหลายประเด็นที่กมธ.ฯ น่าจะกลับไปทบทวนได้ มันไม่ได้สายที่เราจะพิจารณาร่วมกัน หรือถ้าจะกลับไปร่างเดิม ที่อาศรัยมาตรา 129 เป็นหลัก กฎหมายก็เดินหน้าได้ เพราะอยากให้โหวตไปแล้วเป็นประเด็น แล้วให้กมธ.ฯไปหารือกัน

แต่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ไม่ได้สนใจ โดยให้ที่ประชุุมลงมติทันที ซึ่งที่ประชุมลงมติเห็นด้วยกับกมธ.ฯ เสียง 383 ไม่เห็นด้วย 3 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 8 เสียง

จากนั้นพิจารณามาตราอื่นตามลำดับ กระทั่งมาตรา 14 ที่มีประชุมมติเห็นชอบกมธ.เสียงข้างมาก 398 เสียง ไม่เห็นด้วย 7 เสียง ไม่ลงคะแนน 3เสียง ที่ระบุว่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดไม่ส่งเอกสารหรือไม่มาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นตามที่คณะกรรมาธิการเรียกตามมาตรา 7 หรือมาตรา 8 โดยไม่มีเหตุอันสำควรให้ประธานคณะกรรมาธิการ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมาธิการ มีหนังสือแจ้งไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป และแจ้งให้ประธานสภาฯ ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณีทราบด้วย ให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนรายงานผลการดำเนินการต่อคณะกรรมาธิการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการดำเนินการเสร็จสิ้น

ส่วนมาตรา 14/1 เป็นมาตราเพิ่มขึ้นใหม่ เกี่ยวกับโทษ ในกรณีที่บุคคลซึ่งไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ปฏิบัติตามหนังสือเรียก ไม่ส่งเอกสาร ไม่มาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นต่อกรรมาธิการ โดยไม่มีเหตผลอันสมควร ให้ถือเป็นความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 1 หมื่นบาทและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาเป็นผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย ให้ประธานรัฐสภาออกระเบียบเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดค่าปรับเป็นพินัยและการผ่อนชำระเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย

หลังที่ประชุมพิจารณาเสร็จสิ้นลงมติเห็นชอบกับร่างพ.ร.บ.อำนาจเรียกฯ 398 เสียง ไม่เห็นชอบ 3 เสียง ไม่ลงคะแนน 5 เสียง.-319.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ไทยตอนบนฝนน้อย ทะเลอันดามัน-อ่าวไทย คลื่นสูง 1-2 ม.

กทม. 3 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนมีฝนน้อย ส่วนทะเลอันดามันและอ่าวไทย คลื่นสูง 1-2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยตอนบนมีฝนน้อยเนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง – สำนักข่าวไทย

กระเช้าหลุด ช่างทาสีร่วงตึก 5 ชั้น ตาย 1 สาหัส 1

พัทลุง 2 ส.ค. – เกิดเหตุสลด กระเช้าปลายบูมหลุดจากเครน ช่างทาสีร่วงจากตึก 5 ชั้น เสียชีวิต 1 เจ็บสาหัส 1 ที่ไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียน จ.พัทลุง เกิดเหตุสลดกลางไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียนแห่งหนึ่ง ในตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อกระเช้าที่ผูกติดกับหัวเครนเกิดหัก หลุดจากตึกสูง 5 ชั้น ส่งผลให้ช่างทาสี 2 คน ที่อยู่บนกระเช้าร่วงตกลงกระแทกพื้น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันที 1 คน คือ นายธวัชชัย อายุ 36 ปี และนายชุติเดช อายุ 43 ปี บาดเจ็บสาหัส ขาทั้งสองข้างหักละเอียด แขนซ้ายหักผิดรูป เจ้าหน้าที่เร่งให้การช่วยเหลือก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลพัทลุงอย่างเร่งด่วน ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า คนงานทั้ง 2 เป็นช่างทาสี ได้ขึ้นกระเช้าเหล็กเพื่อขึ้นไปทาสีบริเวณชั้น 5 ของอาคาร ซึ่งมีความสูงประมาณ 26 เมตร แต่ด้วยน้ำหนักของคนงานทั้งสองคน […]

รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง

ทำเนียบ 2 ส.ค.-รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง ด้วยพยานหลักฐานทุกมิติ ต่อประชาคมโลกผ่าน OSCE-เวทีระดับสูงด้านความมั่นคงของยุโรป ยืนยันหลักสันติวิธี ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ และตอกย้ำว่าการปกป้องประชาชนจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมายสากล พร้อมใช้โอกาสนี้ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าบทบาทของประเทศไทย ในเวทีระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริงและแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมาต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวานนี้ (1 สิงหาคม 2568) ที่ผ่านมา ไทยได้เข้าร่วมการประชุม Helsinki+50 ในกรอบองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe: OSCE) ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมี นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม โดยในช่วงของการกล่าวถ้อยแถลง หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ย้ำท่าทีของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า “ไทยยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และหลักการของ Helsinki Final […]

EOD เก็บกู้ระเบิดฝังอยู่ใกล้ปั๊มที่ถูกกัมพูชายิงใส่

ศรีสะเกษ 2 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ EOD ทำลายหัวระเบิด HE ของจรวด BM 21 ที่ฝังอยู่บนถนนกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ใกล้กับปั๊มน้ำมันที่ถูกกัมพูชายิงใส่ร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD เริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อทำลายระเบิดที่ฝังอยู่ในถนน บ้านน้ำเย็น-บ้านผือ ฝั่งมุ่งหน้าเขาพระวิหาร ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นระเบิดที่ฝั่งกัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือน โดยจุดที่ระเบิดถูกฝังบนถนนอยู่ห่างจากปั๊ม ปตท. บ้านผือ ไม่ถึง 1 กิโลเมตร เป็นระเบิดที่ถูกยิงมาในวันที่ 24 กรกฎาคม พร้อมกับเหตุการณ์ยิงกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม จนมีผู้เสียชีวิต 8 ราย เจ้าหน้าที่ได้นำกระสอบทรายมาทำเป็นบังเกอร์ล้อมรอบจุดที่ระเบิดฝังอยู่ในถนน เจ้าหน้าที่ชุดจากตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ตำรวจ ตชด.ที่ 22 อุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย หรือ TMAC โดยมีการปิดถนนรัศมี 1 กิโลเมตร […]