ชัยนาท 31 ส.ค.-“ภูมิธรรม” ลั่นถึงเวลาต้องคุยกันถึง “เขื่อนแก่งเสือเต้น” ระบุแม่น้ำยมมีปัญหามากที่สุด เมื่อน้ำไหลลงมาก็ไม่มีที่รองรับ ทำให้ จ.สุโขทัย รับน้ำทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีและคณะ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจดูสถานการณ์น้ำ ก็ได้มาติดตามสถานการณ์น้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท พร้อมรับฟังการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา และปริมาณน้ำในเขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา
นายภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจว่า การมาวันนี้ได้มีการปรึกษาหารือกันตลอด และรับฟังความห่วงใยต่างๆ ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ลงพื้นที่ก็มีความเป็นห่วงราษฎรและอยากให้เราดูตรงนี้ให้เต็มที่ เพราะเห็นใจประชาชนที่อยู่ตรงนี้ลำบาก ส่วนวันนี้ตรงก็ได้มีการหารือกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ สทนช. โดยทั้งหมดได้มีประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยและนครสวรรค์
นายภูมิธรรม กล่าวว่า วัตถุประสงค์วันนี้คือเราได้ยินว่ามีน้ำท่วมหลาก โดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงพื้นที่มาก่อนล่วงหน้าแล้ว ด้วยความห่วงใยประชาชน น้ำที่ลงมาที่นี่ลักษณะเป็นน้ำหลากลงมาแล้วกระจายตัว ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้กับประชาชน โดยพื้นที่น่าน พะเยา แพร่ เราได้ลงพื้นที่และสั่งการไปเรียบร้อยแล้ว ให้ทุกฝ่ายช่วยกันระบายน้ำลงแม่น้ำโขง ซึ่งน้ำที่ลงมาส่วนใหญ่ลงมาจากแม่น้ำยม ทั้งนี้แม่น้ำปิง วัง ที่ลงมาจาก จ.เชียงใหม่ คาดว่าจะไม่กระทบเพราะยังสามารถรับน้ำได้ค่อนข้างมาก
ส่วนทาง จ.แพร่ ทางด้านที่ลงเขื่อนสิริกิติ์ก็ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งจากที่ดูแต่ละเขื่อน มีเปอร์เซ็นต์ที่สามารถรับน้ำได้ ทั้งนี้แม่น้ำยมมีปัญหามากที่สุด ต่อเนื่องมาหลายสิบปี เมื่อน้ำไหลลงมาก็ไม่มีที่รองรับน้ำ ทำให้ จ.สุโขทัย ที่เป็นที่ลุ่มต่ำรับน้ำทั้งหมด
นายภูมิธรรม กล่าวว่าเรามา จ.สุโขทัย เพื่อแก้ไขป้องกัน สิ่งไหนที่กีดขวางทางน้ำก็สั่งการให้ สทนช. ทลายลง เช่น รางรถไฟเดิมที่เป็นจุดขวางน้ำก็ขอให้รื้อออก เพื่อให้น้ำมีทางระบายลงไปให้เร็วที่สุด รวมถึงการแก้ไขปัญหามอบถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม เบื้องต้นเราได้มีการประกาศภาวะอุบัติภัยไปแล้ว ทำให้จังหวัดสามารถใช้เงิน 20 ล้านบาท ในการดูแลเยียวยา ที่สามารถทำได้ทันเหตุการณ์ ซึ่งในส่วนของรัฐบาลก็มีงบกลางที่จะช่วยเรื่องภัยพิบัติอยู่ เราก็มาดูว่าอันไหนที่จะป้องกันเพิ่มเติม หรือป้องกันน้ำที่กำลังเข้ามาก็ควรจะทำ และเมื่อตนกลับไปจะเสนอเป็นวาระแห่งชาติ สิ่งที่จะใช้ขอให้คิดกันในระยะยาว ตั้งแต่ต้นน้ำ ยันปลายน้ำ
สำหรับจังหวัดสุโขทัย ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมาพูดคุยกันถึงเขื่อนแก่งเสือเต้น เพราะที่ผ่านมาสร้างอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากมีความคิดเห็นที่แตกต่าง 2 ฝ่ายระหว่างพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ ทุกข์ร้อนต้องจมอยู่กับน้ำขัง น้ำหลากมาเป็นเวลานาน แต่ขณะเดียวกันเมื่อมีเรื่องเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม เราก็เข้าใจในความแตกต่าง เราก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำได้อย่างเดียว แต่ก็คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น และดูแลทุกอย่างให้ครบถ้วน
“ฉะนั้นเรื่องนี้ ก็ขอให้เป็นประเด็นสาธารณะที่จะพิจารณา และคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอย่างถ่องแท้ ทั้งนี้เราได้มีการประสานงานกับเวิลด์แบงค์ ซึ่งเขาขอเข้ามาดำเนินการ เราก็ให้เขาไปศึกษาผลกระทบต่างๆ ซึ่งต้องดูประชาชนที่ได้รับผลกระทบและประชาชนที่ไม่อยากให้มีการสร้างเขื่อนเกิดขึ้น ว่ามีเหตุผลอะไร มีจำนวนเท่าไหร่ หากมีปัญหาทางกายภาพ การชดเชยเยียวยา เราสามารถ ทำให้เป็นธรรมกับเขาได้ โดยจะมีการไปพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง ถ้าตรงนี้เป็นที่ยุติ สำหรับสาธารณะโดยเร็วที่สุด ซึ่งผมอยากให้เกิดขึ้นภายในปีนี้ ถ้าเกิดสามารถจัดการจบได้ใน ครม. สามารถดำเนินการได้เลย เพราะต้องใช้เวลาอีกหลายปี และเงินที่นำมาแก้ปัญหาอยู่ในระบบที่สามารถจัดการปัญหาได้อย่างเต็มที่” นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม ยังระบุว่า ขณะนี้มีข่าวลือในโซเชียลมีเดียมากว่าจะเกิดน้ำท่วมเหมือนปี 54 ซึ่งเมื่อมาดูแล้วมีระบบการกระจายน้ำ ที่กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำงานร่วมกันให้น้ำไปกระจายในส่วนต่างๆ
ส่วนจะมีพายุเข้ามาหรือไม่นั้น ตอนนี้เราอยู่ในโลกที่สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงวิชาการของกรมอุตุนิยมวิทยา ค่อนข้างตรงกับสถานการณ์ ได้ดูว่าจุดเฉพาะมีปัญหาตรงไหน และเมื่อคำนวณแล้ว เชื่อว่าเราสามารถรับสถานการณ์ได้ อย่างเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท และอีกหลายเขื่อนมีน้ำเพียง 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 2 เท่านั้น ยังสามารถรองรับปริมาณน้ำได้มาก และน้ำอยู่ในช่วงของการระบายเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น จึงไม่อยากให้พี่น้องประชาชนวิตก ข้อมูลส่วนวิชาการ ที่เราทำขณะนี้ เราทำด้วยใจที่รู้สึกว่าพี่น้องประชาชนยากลำบาก และมีความเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องประชาชน รวมถึงพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเชื่อใจหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และคณะรัฐมนตรีจะต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ จากนั้นในเวลา 17.10 น. นายภูมิธรรม และคณะก็ได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ.-314.-สำนักข่าวไทย