“พิธา” แนะรัฐบาลชัดเจนเกี่ยวกับแผนรายได้และหนี้

รัฐสภา 21 มิ.ย.-“พิธา” ถามรัฐบาลมั่นใจการเก็บรายได้อย่างไร แนะทำตามแนวทาง OECD เสนอความชัดเจนเกี่ยวกับแผนรายได้และหนี้ – ปฏิรูปภาษีอย่างเป็นธรรม – ช่วยเหลือประชาชนงบไม่ครอบคลุม – จัดทำงบอย่างโปร่งใส

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในการ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ดีขึ้น และถูกกดดันด้วยปัจจัยในประเทศ ทั้งสินค้าที่แพงขึ้น หนี้ครัวเรือน ภัยพิบัติ โรคระบาด สังคมสูงวัย ยาเสพติด วิกฤตทางการเมือง ส่วนปัจจัยภายนอก ทั้งสงคราม การกีดกันการค้า เทคโนโลยี ดังนั้น งบประมาณที่รอบคอบ ที่มีการบริหารความเสี่ยง และมีความสมดุลย์ ระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจ และความเป็นดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน จึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับปี 2568


ในขณะเดียวกันปีนี้เป็นปีที่ 6 ในในการอภิปรายเรื่องงบ อาจไม่มากแต่นานพอที่จะบอกว่ารูปร่างงบประมาณไม่ต่างกันมาก มีโอกาสได้ดูการทำงบประมาณของ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) หรือ The Organization for Economic Cooperation and Development ที่มีข้อเสนอแนะดี ๆ ในการทำงบประมาณ ขั้นตอนต่อจากนี้ที่ไทยจะเข้าสู่ OECD ต้องมีการปรับปรุงมาตรฐานกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติให้สอดคล้อง

งบประมาณ คือ การเรียงลำดับความสำคัญ ทรัพยากรมีจำกัดทุกประเทศ คือการจัดความสำคัญกับประชาชนที่จ่ายภาษี และรัฐที่ใช้ภาษี ใครจ่าย ใครใช้ ใครเจริญ ใครถูกมองข้าม เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด อย่างกรณีการจัดงบประมาณของประเทศนิวซีแลนด์ ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาว ไม่ได้คิดแค่การปล่อยเงินจากบนลงล่าง หรือล่างขึ้นบน แต่บางครั้ง สิ่งที่ประชาชนต้องการ อาจไม่ใช่พายุเศรษฐกิจ แต่ต้องการลมใต้ปีกของคนตัวเล็ก ๆ ที่ต้องทำงบประมาณแบบละเอียด ไม่ได้ต้องการพาประเทศไปสู่ความเสี่ยงระยะยาว ต้องการโครงการเล็ก ๆ ที่เห็นคนข้างล่างรวมกัน ทำให้เศรษฐกิจโตได้ และลดความเหลื่อมล้ำไปได้


วาระที่ 1 ประมวล รายได้ของรัฐ + เงินกู้จะ = รายจ่ายของรัฐ ซึ่งปัจจุบันไม่เพียงพอกับรายจ่าย จึงต้องมีการกู้เพิ่ม โดยรายได้ของรัฐ มาจากส่วนที่เสียภาษี คือ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต ส่วนราชการอื่น พาณิชย์ เมื่อรวมกับเงินกู้ จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร การชำระหนี้ท้องถิ่น งบผูกพัน สวัสดิการ โครงการดิจิทัล วอลเล็ต และอีก 1 ใน 4 จะเป็นงบประมาณคงเหลือที่ใช้แก้ปัญหาเรื่องอื่นๆ

นายพิธา ยกแผนผังรายได้ของรัฐมีความผันผวน และสัดส่วนการเก็บรายได้ลดลง เมื่อเทียบกับ GDP ซึ่งเป้าหมายของประเทศในกลุ่ม OECD จะมีเป้าหมาย 16 – 18% ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 14 – 15% เท่านั้น จึงเกิดคำถามว่าแผนการจัดเก็บรายได้ของรัฐที่มีความผันผวนมาตลอด รัฐบาลจะมีแผนงานอย่างไร ที่ทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ารายได้ในอนาคต สามารถเป็นรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในประเทศได้ โดยไม่ต้องกู้มากขึ้น

นายพิธา ระบุว่า ข้อมูลล่าสุด สะท้อนให้เห็นว่าการจัดเก็บรายได้ รัฐมีความเสี่ยงที่จะทำไม่ได้ตามเป้า อย่างกรมสรรพสามิต จากกรณีที่หยิบยกมาการเก็บรายได้ 7 เดือน จาก 12 เดือน จัดเก็บพลาดไปแล้ว 35,498 ล้านบาท ซึ่งยกตัวอย่าง การเก็บภาษีพลาดเป้าที่ผ่านมา เกิดจากนโยบายของรัฐบาลในการลดภาษีดีเซล และเบนซิน สะท้อนให้เห็นว่าเวลารัฐบาลทำนโยบาย บางครั้งอาจมีความจำเป็นที่ต้องทำ แต่มีราคาที่ต้องจ่าย คือเรื่องรายได้ของรัฐที่หายไป จึงอยากฟังจากกระทรวงการคลัง ว่าจะแก้ไขปัญหาส่วนนี้อย่างไร


สิ่งที่อยากเห็นจากรัฐบาลชุดนี้ คือ แผนรายได้ประเทศ การปฏิรูปภาษี จะทำอย่างไร จะขยายฐานภาษีทางเศรษฐกิจอย่างไร ที่จะไม่ทำให้คนตัวเล็กลำบากมากเกินไป ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะขยายเพิ่มอาจซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ หากคิดตามสัดส่วนรายได้ การบริโภคสินค้าประเภทเดียวกัน คนจนจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มมากกว่าคนรวย ส่วนแนวราบ หรือฐานคนเสียภาษีน้อย ที่จะต้องเพิ่มแรงจูงใจให้คนยื่นภาษีกว้างมากขึ้น

การสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับประเทศ จึงอยากถามกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องสุราก้าวหน้า ขอแค่แก้กฎกระทรวง และส่งเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ทันที โดยที่ไม่ต้องผ่านสภา เหมือนในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ยืนยันว่าสามารถทำได้เลยและเพิ่มสรรพสามิตใหม่ ๆ ให้กับประเทศ

นายพิธา ยกตัวอย่าง คำพูดในเว็บไซต์ของพรรคเพื่อไทย คือ “คุณคิดว่าจะมีประชาชนที่ไหนยอมเข้าคิวเสียภาษีล่วงหน้า ง่ายนิดเดียว เอาต้มใต้ดิน มาต้มบนดิน และประชาชนจะเข้าคิวเพื่อซื้อแสตมป์สรรพสามิต มาติดปากขวดเหล้าเพื่อขาย คุณเข้าใจความยิ่งใหญ่นี้ไหม” หากไม่อยากทำตามในสิ่งที่ตนเองพูดไป อย่างน้อย ทำตามสิ่งที่เว็บไซต์ของพรรคเพื่อไทยเคยทำไว้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับประชาชน

ส่วนเรื่องการกู้ ภาระดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่า ย้ำว่า ทุกอย่างมีต้นทุน ซึ่งต้องมาเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในอนาคต และอีกเรื่องคือความยืดหยุ่นในการทำงบประมาณ ซึ่งครั้งนี้เป็นการไต่เส้น ใกล้เคียงกับกรอบงบประมาณ ทั้งการกู้ปริ่มเพดาน ภาระผูกพันงบประมาณข้ามปี ควรทำอะไรที่เสี่ยงขนาดนี้ เดิมพันกับอนาคต มากขนาดนี้หรือไม่อย่างไรเชื่อว่าประชาชนตัดสินใจได้ อนาคตเรามั่นใจมากน้อยแค่ไหนกับน้ำบ่อหน้า รวมถึงความเชื่อมั่นของทุกภาคส่วนก็ดูไม่สู้ดีนัก รวมถึงงบรายจ่าย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เราไม่ค่อยเน้นเรื่องรายได้ หรือแผนเงินกู้ ทำให้เห็นภาพครบทุกมุม อัตราการเติบโตของรายได้โตไม่ทันรายจ่ายของประเทศ ทำให้อัตราการกู้สูงขึ้นเรื่อย ๆ

วาระที่สองการขยาย ได้ยกคำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2565 ถ้ารัฐบาลไม่จนปัญญาจริง ๆ ไม่แจกหรอก เน้นเรื่องการใช้เงินสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแรงขึ้น ต้องหาสมดุลย์ระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดความเหลื่อมล้ำ การหาสมดุลย์ผลประโยชน์ระยะสั้นและความเสี่ยงในระยะยาวมองเห็นกระตุ้น Ignite และเห็นหัวประชาชนที่ถูกมองข้าม การกระตุ้นเศรษฐกิจมีหลายมิติ ปัญหาของ GDP เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุน การต่อสู้กับการขาดทุนทางการค้า ไม่ใช่การบริโภค

ภาคเกษตร ปัญหาที่ดินทับซ้อนงบประมาณกว่า 725 ล้านบาทที่จะใช้ในการแก้ไขต้องใช้เวลากว่า 100 ปี ในการแก้ไขปัญหาทั้งหมด ปัญหาเรื่องการจัดการน้ำแล้ง จากการจัดสรรงบประมาณจะทำได้ได้แค่ 1% ของพื้นที่แรงทั้งหมด และเรื่องสุดท้ายคือการเผาในภาคการเกษตรโดยมีงบประมาณ 2,000,000 ตันจาก 24 ล้านตัน ซึ่งเป็นเพียง 10% หากเราแก้ไขการลงทุนในเครื่องจักร หรือปรับระบบการเพาะปลูก จะสามารถแก้ไขได้

ภาคอุตสาหกรรม งบประมาณที่จัดมาแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่าจะสู้ได้อย่างไร การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมของยานยนต์สันดาปไปอีวี เสนอให้จดงบเพื่อเตรียมตัว การปรับตัวให้ทัน AI ซึ่งงบประมาณน้อยกว่าประเทศอื่นๆ จึงเกิดคำถามว่า งบประมาณเท่านี้ จะสู้กับประเทศอื่นได้อย่างไร

การท่องเที่ยว ต้องรักษาไว้ที่การลงทุนด้วยโครงสร้างพื้นฐาน ต้องมีงบประมาณในการรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศด้วย

ในขณะที่งบ Ignite ก็มีคนถูก Ignore ด้วย ทั้งสวัสดิการเด็กเล็ก เงินอุดหนุนเด็กเล็กยังไม่ถ้วนหน้า สวัสดิการผู้พิการ เครื่องมือผู้พิการหายไป และสิ่งแวดล้อม งบดูแลไฟป่าที่ไม่เพียงพอ

วาระที่สามข้อเสนอแนะ คือ การปฏิรูปกระบวนการทางงบประมาณ ตั้งแต่การจัดทำ การอนุมัติ และการบริหารงบประมาณตามข้อเสนอแนะของ OECD คือ การมีส่วนร่วมของสาธารณะยังจำกัดและสามารถทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น มีการระบุความเสี่ยงการคลังไว้แล้ว แต่การเพิ่มความตระหนักถึงความยั่งยืนการคลังในระยะยาวสามารถปรับปรุงได้ พและการตรวจสอบอิสระซึ่งปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่

นายพิธา สรุปว่า 5 สิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำเกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน คือ ความชัดเจนเกี่ยวกับแผนรายได้กับแผนหนี้ของประเทศ, แผนการปฏิรูปภาษีอย่างเป็นธรรม, แผนการช่วยเหลือประชาชนที่งบประมาณไม่ครอบคลุม, การเปิดเผยกระบวนการการพิจารณางบต่อสาธารณะ และการปรับกระบวนการงบประมาณตามมาตรฐาน OECD.-317.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง นายก อบจ.อุบลฯ เดือด ส่งท้ายปี

ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นสนามเลือกตั้งท้องถิ่นขนาดใหญ่ส่งท้ายปีนี้ การแข่งขันดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครต่างเร่งหาเสียงกันอย่างเต็มที่ โดยมีผู้สมัคร 4 คน ลงชิงชัย ไปติดตามบรรยากาศโค้งสุดท้ายว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัย

ทอ.ส่ง F-16 ขึ้นบินป้องน่านฟ้า หลังมีอากาศยานไม่ทราบฝ่าย เหนือชายแดนไทย-เมียนมา

กองทัพอากาศส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ขึ้นบิน เพื่อพิสูจน์ฝ่ายและสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย บริเวณแนวชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก

อุตุฯ เผยอีสาน-เหนือ อากาศหนาว กทม.อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย

กรมอุตุฯ เผยภาคอีสาน ภาคเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็น

lightened Christmas tree in front of U.S. Capitol

รู้จัก “ชัตดาวน์” ของสหรัฐและผลกระทบ

วอชิงตัน 20 ธ.ค.- หน่วยงานจำนวนมากของรัฐบาลสหรัฐเสี่ยงต้องปิดทำการชั่วคราว หรือที่เรียกว่า กัฟเวิร์นเมนต์ ชัตดาวน์ (government shutdown) หลังผ่านพ้นเที่ยงคืนวันนี้ (20 ธันวาคม) ตามเวลาสหรัฐ หากรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ได้ทันเวลา หลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติไม่เห็นชอบร่างงบประมาณฉบับใหม่เมื่อวานนี้ สาเหตุที่เสี่ยงชัตดาวน์ ปกติแล้วรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐบาลกลางทั้งหมด 438 แห่งก่อนวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี แต่ที่ผ่านมาสมาชิกรัฐสภามักทำไม่ได้ตามกำหนดเวลา และมักผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ต่อไปในระหว่างที่สมาชิกรัฐสภาหารือกันเพื่อผ่านร่างงบประมาณจริง ร่างงบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะหมดอายุเมื่อเข้าสู่เช้าวันเสาร์ตามเวลาสหรัฐ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตเตรียมร่างกฎหมายที่จะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2568 แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันลงมติไม่เห็นด้วย และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติไม่เห็นชอบร่างงบประมาณที่เสนอใหม่ ดังนั้นหากรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ได้ก่อนที่ร่างงบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะหมดอายุ ก็จะเกิดการชัตดาวน์ เพดานหนี้ที่ทรัมป์ต้องการให้แก้ นายทรัมป์ยังต้องการให้สมาชิกรัฐสภาแก้ปัญหาเรื่องการกำหนดเพดานหนี้ประเทศให้รัฐบาลสามารถกู้ยืมได้มากขึ้น ก่อนที่เขาจะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคม 2568 รัฐสภาสหรัฐเป็นผู้กำหนดเพดานหนี้สาธารณะที่อนุญาตให้รัฐบาลก่อหนี้ แต่เนื่องจากรัฐบาลมักใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่ได้จากการจัดเก็บภาษี สมาชิกรัฐสภาจึงต้องคอยแก้ปัญหานี้เป็นครั้งคราว รัฐสภาสหรัฐกำหนดเพดานหนี้สาธารณะครั้งแรกในปี 2482 โดยกำหนดไว้ที่ 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.55 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน) และนับจากนั้นเป็นต้นมาได้ขยายเพดานหนี้แล้วทั้งหมด 103 […]

ข่าวแนะนำ

เชิญชวนร่วมงาน “มหานคร คัลเลอร์ฟูล ปาร์ตี้ 2025”

“กำภู-รัชนีย์” พาทัวร์งาน “มหานคร คัลเลอร์ฟูล ปาร์ตี้ 2025” ณ ลานจอดรถ บมจ.อสมท พบปะผู้ประกาศ ดีเจ และอินฟลูเอนเซอร์ รวมไปถึงศิลปินที่จะมาร่วมสนุกในงาน “มหานคร คัลเลอร์ฟู ปาร์ตี้ 2025”

วัยรุ่นซิ่งเบนซ์เสียหลักพุ่งเหินฟ้าคารถ 6 ล้อ

รอดตายปาฏิหาริย์! วัยรุ่นซิ่งเบนซ์เสียหลัก ก่อนพุ่งเหินฟ้าติดคาบนรถ 6 ล้อ พลเมืองดีเข้าช่วยเหลือออกมาจากรถ ปลอดภัย

แม่คะนิ้งโผล่ภูกระดึง เตรียมเปิดอุทยานฯ พรุ่งนี้

จังหวัดเลย อุณหภูมิลดลง 1-2 องศาฯ “แม่คะนิ้ง” โผล่ภูกระดึง เตรียมเปิดให้ท่องเที่ยวพรุ่งนี้ (23 ธ.ค.) หลังปิดมา 9 วัน จากเหตุช้างป่า