ขอสภาฯ ตั้ง กมธ.ศึกษาขอบเขตอำนาจศาล รธน.-นิติบัญญัติ

รัฐสภา 6 มี.ค.-ก้าวไกล ยื่นญัตติด่วน ขอให้สภาฯ ตั้ง กมธ.ศึกษาขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและอำนาจนิติบัญญัติ หลังมองคำวินิจฉัยศาล รธน. กระทบการทำหน้าที่


นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อม สส.ของพรรคก้าวไกล ยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอญัตติด่วน ขอให้สภาฯ ตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและขอบเขตอำนาจนิติบัญญัติ สืบเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 หรือคดีล้มล้างการปกครองของพรรคก้าวไกล ซึ่งมีคำวินิฉัยฉบับเต็มประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา

โดยพรรคก้าวไกล เห็นว่า มีประเด็นบางประการที่กระทบกับการทำหน้าที่ และการปฎิบัติงานของ สส. รวมถึงสมาชิกรัฐสภา อย่างมีนัยสำคัญ จึงจำเป็นจะต้องเสนอญัตติด่วน  ขอให้สภาฯ ตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและขอบเขตอำนาจนิติบัญญัติ กรณีตรวจสอบการกระทำของ สส. หรือสมาชิกรัฐสภา ในการดำเนินการทางนิติบัญญัติ ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 และคำวินิจฉัยอื่นๆ


เนื่องจากในการกล่าวหา ว่าการเสนอแก้ไขร่างกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ สส.พรรคก้าวไกลนั้น เป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งมีประเด็นหนึ่งที่ทางพรรคก้าวไกล ได้โต้แย้งข้อกล่าวหาไว้ว่า การเสนอแก้ไขร่างกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ใช่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพ ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่ปรากฏในคำร้อง แต่การเสนอร่างกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นฉบับใด เป็นอำนาจของ สส.ตามกระบวนการนิติบัญญัติ และการเสนอร่างกฎหมาย ไม่สามารถเป็นการล้มล้างการปกครองได้ เพราะรัฐกำหนดให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจการตรวจสอบร่างพระราชบัญญัติ ทั้งก่อนและหลังการประกาศใช้อยู่แล้ว แต่ปรากฏว่า ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการตีความขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญไว้ว่า แม้การเสนอร่างกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎรเป็นวิธีการทางรัฐสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้ฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจโดยตรงในการเสนอกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจที่จะตรวจสอบและวินิจฉัยว่า การเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้ จะส่งผลต่อความชัดเจนของขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็น สส. หรือสมาชิกรัฐสภา

นายชัยธวัช กล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎรควรจะพิจารณาโดยเร่งด่วนในการเสนอญัตติด่วน ขอให้สภาฯ ตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและขอบเขตอำนาจนิติบัญญัติ กรณีการตรวจสอบการกระทำของ สส. รวมถึงคำวินิจฉัยของศาลก่อนหน้านี้ ว่าด้วยการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หรือกรณีที่เคยมีการวินิจฉัย ไม่ให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในการแก้ไขที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ก็ตามที สิ่งเหล่านี้ ล้วนกระทบต่อสมดุลและดุลยภาพอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และตุลาการ อย่างมีนัยสำคัญ


“พรรคก้าวไกล หวังว่าจะสามารถบรรจุเป็นญัตติด่วนได้โดยเร็วที่สุด เนื่องจาก มีผลโดยตรงทำให้ สส.และสมาชิกรัฐสภาไม่มีความชัดเจนแน่นอน ว่าอะไรที่ทำได้หรือทำไม่ได้ และอะไรที่สามารถถูกตีความ หรือถูกตรวจสอบโดยศาลรัฐธรรมนูญได้มากกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นการเฉพาะอยู่แล้ว และเรื่องนี้เป็นเพียงญัตติเพื่อเสนอให้มีการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้กระทบต่อคำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นแล้ว และไม่ได้เกี่ยวกับการละเมิดศาลใดๆ ทั้งสิ้น”นายชัยธวัช กล่าว

ด้าน นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า จะรับญัตติดังกล่าวไปให้ฝ่ายกฎหมายของสภาฯ ตรวจสอบขอบเขตของอำนาจประธานสภาฯ และวิธีการดำเนินงานต่อไป โดยไม่ให้ขัดแย้งต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและข้อบังคับต่างๆ และจะดำเนินการตามที่พรรคต้องการ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ

ส่วนผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ นี้ จะมีผลต่อฝ่ายต่างๆ อย่างไร นายชัยธวัช กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดจะมีความชัดเจนในฝ่ายนิติบัญญัติ ว่าตกลงเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญมีแค่ไหน และเราคาดหวังว่าผลการศึกษานี้ จะมีส่วนในนำไปพิจารณาการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในอนาคต ขณะนี้เรื่องนี้ยังเป็นปัญหาอยู่จนถึงทุกวันนี้  เช่น ร่างของพรรคเพื่อไทยที่เสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยไม่ได้แก้ทั้งฉบับ แต่ละรัฐสภาเห็นว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นนี้ จะขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้พรรคเพื่อไทยจะใช้อำนาจโดยชอบตามรัฐธรรมนูญก็ตาม ถ้าเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน ก็จะมีปัญหาต่อไปในอนาคต

นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า ผลการศึกษานี้ อาจนำไปสู่ข้อเสนอในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อให้มีความชัดเจนเกิดขึ้น เกี่ยวกับขอบเขตอำนาจของศาลธรรมนูญมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การเสนอร่างกฎหมาย เป็นอำนาจของรัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติ หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อยากตรวจสอบความชอบรัฐธรรมนูญ ก็ควรตรวจสอบความชอบรัฐธรรมนูญตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นการเฉพาะอยู่แล้ว คือหลังจากที่ร่างกฎหมายผ่าน ก่อนที่จะประกาศใช้ ซึ่งอาจนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ให้มีความชัดเจนว่า ให้ยกเว้นอะไรบ้าง มากกว่านั้นอาจนำไปสู่การแก้ไขมาตราที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดการเสียสมดุลในการตรวจสอบถ่วงดุลกับสถาบันทางการเมืองต่างๆ

เมื่อถามถึงกรณีที่สำเนาคดีล้มล้างการปกครองของพรรคก้าวไกลจะเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถือว่าเร่งรีบพิจารณาหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังสรุปไม่ได้ ทราบอยู่แล้ว ว่ามีคนไปร้อง ทางฝ่ายกฎหมายของพรรค ได้เตรียมตัวที่จะต่อสู้คดี ขณะนี้แค่รอว่าเมื่อไหร่ที่ กกต. จะเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งตามกระบวนการควรต้องมีกระบวนการไต่สวน เพื่อเปิดโอกาสให้เราต่อสู้ ชี้แจงข้อกล่าวหาให้เร็วที่สุด

เมื่อถามว่า กรรมาธิการวิสามัญฯ ที่เสนอตั้งนั้น ไม่ได้มีผลเป็นรูปธรรมต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ใช่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ถูกต้องแล้ว เป็นไปไม่ได้ และเราไม่ประสงค์ให้กระทบต่อคำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ รวมถึงปัญหาในอนาคต หากการศึกษาสามารถนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญที่ดีขึ้นได้ในอนาคตก็จะเป็นเรื่องที่ดี

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า ปัญหาการตีความขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดมาก หากฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายรัฐธรรมนูญเช่นนี้ได้

“เพราะเราเคยแก้ไขมาแล้ว ฝ่ายนิติบัญญัติรวมถึงสภาร่างรัฐธรรมนูญสามารถแก้ไขที่มาของวุฒิสภาได้ แต่มาถึงยุคหนึ่งปรากฎว่า ศาลรัฐธรรมนูญขยายอำนาจในการตีความเรื่องดังกล่าว มาก้าวก่าย และล้ำแดนฝ่ายนิติบัญญัติ ก็จะเป็นปัญหาการเมืองได้ในอนาคต”นายชัยธวัช  กล่าว

เมื่อถามว่า มีการพูดคุยกับพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ได้แจ้งให้พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลทราบบ้างแล้ว แต่ท่าทีจะเป็นอย่างไร ไม่ทราบ เพราะขึ้นอยู่กับเอกสิทธิ์ของพรรค เมื่อช่วงเช้าภายหลังประชุมผู้นำฝ่ายค้าน ตนก็ได้แจ้งให้ทราบว่า จะมีการยื่นญัตติเรื่องดังกล่าว ซึ่งได้ย้ำกับทุกพรรคว่า นี่ไม่ได้เป็นญัตติ ที่บอกว่าการใช้อำนาจ และการตีความของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ถูกหรือผิด แต่เป็นการเสนอให้มีการศึกษาเพื่ออนาคตเท่านั้น.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผู้ใหญ่บ้านมอบตัว คดียิงชายใหม่ของเมียเก่า ดับคากระบะ

นนทบุรี 20 พ.ค. – ผู้ใหญ่บ้านหึงโหด บุกยิงกิ๊กของอดีตภรรยา 6 นัด เสียชีวิตคารถกระบะ มอบตัวแล้ว เบื้องต้นถูกแจ้งหลายข้อหาหนัก ขณะที่เจ้าตัวฝากขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิต นายอานนท์ อายุ 40 ปี ผู้ใหญ่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.องครักษ์ จ.นครนายก หึงโหด บุกยิงนายพลาธิป อายุ 34 ปี อาชีพขับรถส่งหมู ซึ่งเป็นกิ๊กของอดีตภรรยา เสียชีวิตภายในรถกระบะที่จอดอยู่ในซอยลาดปลาดุก ถนนบางไผ่-หนองเพรางาย ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เหตุเกิดเมื่อเวลา 21.30 น.ที่ผ่านมา (19 พ.ค.) จากภาพจะเห็นว่าเมื่อเวลา 21.02 น. เห็นผู้ตายขับรถกระบะมาจอดริมทาง ก่อนมีรถกระบะสีดำอีกคันตามมาจอดปิดท้าย จากนั้นผู้ก่อเหตุอยู่ในชุดสวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้น เดินลงจากรถ ใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ตายที่ยังนั่งอยู่ในรถ แล้วหลบหนีไป ช่วงสายที่ผ่านมา (20 พ.ค.) พนักงานสอบสวน สภ.บางบัวทอง เบิกตัวนายอานนท์ ผู้ก่อเหตุ มาสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง หลังเมื่อราวตี […]

ขุดลึกลงไป 5 เมตร ยังไม่พบผู้สูญหาย

กทม. 19 พ.ค.-ทีมค้นหาฝังแผ่นเหล็กชีทไพล์ รอบหลุมเสาเข็ม เพื่อขุดค้นหาผู้ประสบเหตุ ซึ่งขุดลึกลงไป 5 เมตร ยังไม่พบผู้สูญหาย เวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่ทีมค้นหา ทั้ง กรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.) Usar Thailand เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู และบริษัทรับเหมาเจาะเสาเข็ม ได้ใช้แบคโฮ เริ่มฝังแผ่นเหล็กชีทไพล์ ความยาวประมาณ 16 เมตร รอบหลุมเสาเข็ม 4 ด้าน เพื่อป้องกันดินสไลด์ปิดทับปากหลุมที่รถแบ็คโฮจะทำการขุด เพื่อค้นหาผู้ประสบเหตุ โดยการฝั่งแผ่นชีทไพล์ รอบหลุมเสาเข็ม เนื่องจากการประเมินของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรม พบว่าดินที่สไลด์ลงมาส่งผลกระทบรุนแรงต่อโครงสร้างอาคาร และเสาไฟฟ้า ในบริเวณที่เกิดเหตุ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาอาคารทรุดตัว เอน และ พังถล่ม จึงจำเป็นต้องนำแผ่นชีทไพล์มากั้น ก่อนทำการขุดดิน และเริ่มค้นหาผู้ประสบเหตุ และหลังจากฝังชีทไพล์ เสร็จสิ้นในเวลา 18.30 น. โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้นำเครื่องโซน่า ลงไปในหลุม เพื่อค้นหาร่างผู้ประสบเหตุ ซึ่งจากการใช้ โซน่าสแกน ร่างของผู้ประสบเหตุ ฝังอยู่ในหลุมลึก […]

พบศพ “ดีเจเตเต้” ถูกอุ้มมัดมือไพล่หลังทิ้งกลางไร่อ้อย

กาญจนบุรี 18 พ.ค. – พบแล้วศพ “ดีเจเตเต้” ถูกอุ้มมัดมือไพล่หลัง นำศพทิ้งกลางไร่อ้อย เมืองกาญจน์ หลังครอบครัวแจ้งช่วยตามหาตัวตั้งแต่คืนวันที่ 14 พ.ค. ตั้งปมสังหารเรื่องชู้สาว ความคืบหน้ากรณี “ดีเจเตเต้” ถูกขับรถตามประกบ ก่อนอุ้มขึ้นรถหายตัวไป เหตุเกิดเมื่อเวลา 03.53 น. ของวันที่ 14 พ.ค. ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งริมถนนแสงชูโต ต.ท่ามะขาม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งหลังเกิดเหตุพ่อของดีเจเตเต้ ได้ออกมาอัดคลิปลงเฟซ บุ๊กเพื่อขอความช่วยเหลือในการตามหาตัวลูกชายที่หายตัวไป ก่อนที่ล่าสุดจะพบว่า กลายเป็นศพอยู่กลางไร่อ้อยเชิงเขาบ้านทุ่งนานางหรอก โดยวันนี้เวลาประมาณ 10.30 น. นายธนพล เสือส่าน กำนันบ้านทุ่งนานางหรอก ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบศพอยู่บริเวณไร่อ้อย หมู่ 3 บ้านทุ่งนานางหรอก ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี คนที่ไปเจอ เป็นน้าชายของนายกอล์ฟคนในหมู่บ้าน ที่ออกไปหาของป่าแล้วไปเจอศพ ในสภาพนอนตะแคง ถูกมือถูกมัดไขว้หลัง แล้วมาบอกหลานชายคือนายกอล์ฟไปดูด้วยกัน แล้วนายกอล์ฟจึงแจ้งให้กำนันทราบ ทางกำนันก็แจ้งเรื่องต่อไปยังตำรวจ สภ.ลาดหญ้า ซึ่งเบื้องต้นศพสวมเสื้อผ้าตรงกับที่เป็นข่าว […]

หาความจริง “แก๊งแม่ชีพันล้าน” ยันไม่ใช่เรื่องจริง

สมุทรสาคร 18 พ.ค. – วงการสงฆ์ยังไม่แผ่ว กระแสแก๊งแม่ชีพันล้านโผล่อีก สำนักพุทธลงตรวจสอบแล้ว แม่ชีที่ถูกกล่าวหา ตอบได้ทุกคำถาม ยืนยันไม่ใช่เรื่องจริง จากกระแสเมื่อวานนี้ (17 พ.ค.) มีเพจหนึ่งนำภาพกลุ่มแม่ชีหลายภาพพร้อมกองธนบัตร และภาพแม่ชีที่แอดมินระบุอ้างว่าเป็นการใส่วิกผม มาโพสต์ลงโซเชียล พร้อข้อความเขียนแจงอย่างละเอียดว่า กรณีมีเพจดังโพสต์ภาพแม่ชีพร้อมข้อความระบุข้อความเด็ดว่า ทำนองว่า “แก๊งแม่ชีพันล้านคุมวัดเบ็ดเสร็จไร้เงาพระ! 1. แม่ชี 2 พี่น้องบริหารวัดลำพังไม่มีไวยาวัจกร ไม่มีกรรมการ ไม่มีมัคทายก ครอบครองที่ดินนับพันไร่แต่ชื่อเจ้าของไม่ใช่วัด บางแปลงเป็นชื่อแม่ชี อาจเข้าข่าย “ถือครองแทน” หรือใช้วัดบังหน้า? ยอดกฐินปีละเกือบ 100 ล้าน! รายชื่อผู้บริจาคซ้ำๆ เดิมๆ ส่วนใหญ่เป็นแม่ชี-คนในวัด ไม่มีอาชีพ ไม่มีธุรกิจ แต่ “บริจาคเป็นล้านทุกปี” ระบบโบนัสแม่ชีสาวช่วยหาทุนได้มาก พาเที่ยวรีสอร์ตหรูปีละครั้ง ใส่วิกเต็มยศ นั้น วันนี้ผู้สื่อข่าวพร้อม นส.สวาท แซ่ตัน ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.สมุทรสาคร นายอิทธิธร สีเหลือง นักวิชาการศาสนาปฏิบัติการ เดินทางไปที่วัดที่แม่ชีในภาพบวชอยู่ ต.บางโทรัด […]

ข่าวแนะนำ

นายกฯ หารือภาคท่องเที่ยวอังกฤษ เปิดตลาดใหม่ ดึง นทท.เข้าไทย

ลอนดอน 22 พ.ค. – นายกฯ หารือภาคท่องเที่ยวอังกฤษ เปิดตลาดท่องเที่ยวใหม่ ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย ตั้งเป้าปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ทำให้เป็น Tourism Hub ระดับโลก ชี้ 4 เดือนแรก นักท่องเที่ยวยุโรปเข้าไทยแล้วกว่า 3.5 ล้านคน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บริษัทท่องเที่ยวของสหราชอาณาจักร ผู้บริหารสายบิน เป็นต้น เพื่อผลักดันการท่องเที่ยวของไทย จากนั้น น.ส.แพทองธาร โพสต์ข้อความทางโซเชียลมีเดียว่า ปีนี้ไทยตั้งเป้าเป็นปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ทำให้ไทยเป็น Tourism Hub ระดับโลก ที่ผ่านมารัฐบาลทำแคมเปญหลายอย่าง โดยเฉพาะการมุ่งเป้าทำให้การใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อคนต่อทริป (Spending […]

ปลาติดเชื้อจากสารเคมีปนเปื้อนในแม่น้ำกก

เชียงราย 22 พ.ค. – วิกฤติน้ำกก หลังพบสารหนู-สารเคมีปนเปื้อนจากการทำเหมืองแร่ ลุกลามไปแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงแล้ว ล่าสุดตรวจพบปลาในแม่น้ำมีอาการผิดปกติที่ผิวหนัง ส่วนช้างอาบน้ำในน้ำกกมีผื่นและตุ่มใส ติดเชื้อจนเกิดแผล หลังจากมีการตรวจสอบหาสารหนู และสารเคมีอื่นๆ ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ทำให้พบว่ามีปริมาณเกินกว่ามาตรฐานหมายเท่าตัว จากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา และตรวจพบปลาในแม่น้ำมีอาการผิดปกติที่ผิวหนัง ซึ่งทางกรมประมงได้ติดตามการติดเชื้อของปลาในแม่น้ำทั้ง 3 สาย โดยนำปลาที่ชาวประมงพื้นบ้านจับได้จากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง นำมาตวรจสอบหาสารตกค้าง และเชื้อโรคที่ปลาได้รับ เพื่อป้องกันการติดเชื้อสู่มนุษย์ หากนำไปบริโภค นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต เปิดเผยว่าสมาคมพยายามจะมอนิเตอร์ปลาในแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง เพื่อติดตามว่ามีการติดเชื้อแพร่กระจายไปถึงไหนบ้าง เพื่อจะเก็บตัวอย่างรีบส่งให้กับทางกรมประมง ในการตรวจหาสาเหตุภายในของปลาว่ามีเชื้ออะไรบ้าง ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ ป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ ซึ่งขณะนี้เกิดความวิตก และกังวลใจของชาวประมงที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ที่ต้องหาปลาในแมน้ำ เมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้นการค้าขายปลาเกิดผลกระทบ ทางเศรษฐกิจในชุมชน คนไม่นิยมปลาจากแม่น้ำ ทำให้ขาดรายได้เลี้ยงชีพ นอกจากนี้ที่บ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พบว่าน้ำในแม่น้ำกกมีลักษณะขุ่นจัด เมื่อเทียบกับลำห้วยสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำ ซึ่งมีน้ำใสกว่ามาก เทศบาลตำบลแม่ยาวได้เร่งติดตั้งป้ายเตือนประชาชน […]

“ยิ่งลักษณ์” โพสต์ตัดพ้อ ต้องชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ

กรุงเทพฯ 22 พ.ค.-“ยิ่งลักษณ์” โพสต์หลังศาลปกครองสูงสุด สั่งชดใช้ 10,028 ล้านคดีจำนำข้าว ตัดพ้อ ต้องชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ รับภาระหนี้จากฝ่ายปฏิบัติ ลั่นหนี้หมื่นล้านชดใช้ทั้งชีวิตยังไงก็ไม่มีวันหมด ทำเพื่อชาวนากลับมีบทสรุปที่เจ็บปวด นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความภายหลัง ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี 10,028 ล้านบาท ว่า “เรียน พี่น้องประชาชนที่เคารพ วันที่ 22 พฤษภาคมปีนี้ เป็นวันครบรอบ 11 ปี รัฐประหาร ซึ่งถือเป็นการยึดอำนาจอธิปไตยของประชาชนทั้งประเทศ และเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำวินิจฉัยให้ดิฉันต้องชดใช้หนี้กว่า 10,000 ล้านบาท จากคดีระบายข้าว ทั้งที่ดิฉันไม่ได้เป็นจำเลยในคดีนี้ และศาลปกครองกลางได้เคยวินิจฉัยว่าดิฉันไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในกรณีดังกล่าวมาแล้ว จากคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดในวันนี้ ทำให้ดิฉันต้องชดใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ความเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่ต้องมารับภาระหนี้ที่เกิดจากการระบายข้าวของฝ่ายปฏิบัติ โดยที่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเหล่านั้นแต่อย่างใด และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็พิพากษาในคดีของดิฉันว่า ปล่อยปละละเลยในการบริหารโครงการรับจำนำข้าวเท่านั้น นโยบายรับจำนำข้าว เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย และเป็นนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องปฏิบัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศจากฐานราก […]

ศาลปกครองสูงสุด สั่ง “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้หมื่นล้านบาท

22 พ.ค. – ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ความเสียหาย 10,028 ล้านบาท จากคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่ ก.คลัง ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุดนัดออกบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาคดีที่กระทรวงการคลัง ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่สั่งเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351 /2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ เป็นเงิน 35,717 ล้านบาท ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังเฉพาะส่วน ให้ชดใช้จำนวน 10,028 ล้านบาท และเพิกถอนคำสั่งยึดอาญัติทรัพย์สิน เพื่อขายทอดตลาด และคำสั่งอื่น โดยเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำอุทธรณ์ฟังขึ้นบางส่วน ศาลพิจารณาว่าไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการจำนำข้าวเปลือกนาปี แต่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายการระบายข้าวโดยวิธีการขายแบบรัฐต่อรัฐหรือ จีทูจี จากความเสียหาย 20,057 ล้านบาท เพราะประมาทเลินเล่อ ก่อให้เกิดความเสียหาย และต้องกำหนดสัดส่วนรับผิด ร้อยละ 50 […]