รร.พูลแมน คิงเพาเวอร์ 14 ก.พ.-นายกฯ ปาฐกถาพิเศษชี้ต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนหลายด้าน ย้ำจุดเด่นรองรับพลังงานสะอาด ให้ความสำคัญเรื่องพลังงาน เดือนหน้าประกาศยกระดับอุตสาหกรรมในปท.
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน Thailand Energy Executive Forum พร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “จุดเปลี่ยนพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน” ว่า รัฐบาบลให้ความสำคัญด้านพลังงาน โดยเฉพาะการช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเมื่อวานนี้ (13 ก.พ.) ได้มีข้อสั่งการช่วยเหลือลดค่าไฟสำหรับเครื่องสูบน้ำการทำนา เนื่องจากการเกษตรถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ ถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จำเป็นต้องทำเพื่อลดช่องว่างทางสังคม เกษตรกรต้องการความช่วยเหลือ และการช่วยเหลือเกษตรกรต้องช่วยแบบอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่รอการสนับสนุนจากรัฐบาลทุกเรื่อง
“ต้องยอมรับว่าพลังงานเป็นต้นทุนและองค์ประกอบใหญ่อย่างหนึ่งของการทำเกษตร ยอมรับว่าพลังงานโซล่าเซลล์เป็นพลังงานที่ถูกที่สุด ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนให้ทำตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทำให้ค่าไฟถูกลง เกษตรกรใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันพลังงานและอุตสาหกรรมก็มีความสำคัญ หลังจากผมรับตำแหน่ง 4-5 เดือนที่ผ่านมา ได้เดินทางไปต่างประเทศพบว่าสำนักงานส่งเสริมการลงทุนไทยหรือบีโอไอ มีคนรุ่นใหม่เข้าใจบริบท เข้าใจนักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในไทย เข้าใจสิทธิทางด้านภาษีและความเป็นอยู่ของคนไทยดีที่สุด ซึ่งไทยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบินที่กำลังจะเปิดใหม่อีกเฟส ท่าเรือน้ำลึก ซึ่งต่างชาติตระหนักและมองว่าเป็นจุดบวกของไทย พร้อมสนใจลงทุนด้านพลังงานสะอาดโดยเฉพาะรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืน (sdg index ) ของไทยอยู่อันดับที่ 30 กว่าของโลก สูงที่สุดของอาเซียน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยมีดีกว่าหลายประเทศ หลังจากนี้จะเดินทางไปพูดคุยกับประเทศในแถบยุโรป โดยเดือนหน้าจะเดินทางไปเยอรมนี เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามา นักลงทุนทั่วโลกถามถึงพลังงานสะอาดโดยเฉพาะสหรัฐและจีน เชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานจะให้ความสำคัญและตระหนักเรื่องนี้ดีว่าจะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมาได้ ประเทศไทยมีดีหลายอย่าง ประเทศไทยโชคดี เพราะในอดีตเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมามีเขื่อน เช่น เขื่อนภูมิพล มีส่วนสำคัญช่วยเรื่องไฟฟ้า ซึ่งในอนาคตสามารถพัฒนาทำเรื่องโซล่าเซลล์ได้ จึงต้องดูความเหมาะสม และเรื่องการลงทุน ว่าจะสามารถดึงพลังงานมาใช้ได้เท่าใด หากทำได้ถือว่าเป็น soft of energy และเป็นจุดขายของประเทศไทยต่อไป จะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปดูแล
“เรื่องพลังงาน เป็นการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พูดคุยกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะการดึงพลังงาน ในพื้นที่ทับซ้อนซึ่งมีมูลค่ามหาศาล ขึ้นอยู่กับตัวเลขที่จะพูดถึงกัน บางคนประเมินถึง 20 ล้านล้านบาทได้ แต่ยอมรับมีปัญหาเรื่องชายแดนหรือเขตแดนอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และทุกคนให้ความสนใจ ดังนั้น ขอแบ่งเป็น 2 เรื่องคือพื้นที่ที่ทับซ้อนและขุมทรัพย์ที่อยู่ในพื้นที่ใต้ทะเล เป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการและพูดคุยกัน ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดและจะพูดคุยกับทั้งสองประเทศ เพื่อนำสินทรัพย์นี้ออกมาใช้โดยเร็วที่สุด พลังงานในช่วงที่เปลี่ยนผ่านพลังงาน brown energy ไปสู่ green energy เพราะมีความจำเป็นต้องพึ่งพาแก๊สอยู่ดี จึงขอให้ทุกคนสบายใจ รัฐบาลนี้จะเดินหน้าต่อไป โดยพยายามแยกแยะปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับปัญหาเรื่องแบ่งผลประโยชน์ ต้องทำอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ และส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวดีขึ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านเรื่องพลังงาน ส่วนค่าไฟยังคงเป็นปัญหาอยู่ รัฐบาลนี้ได้เจรจาอย่างต่อเนื่อง เช่น ด้านความพร้อมหรือด้าน black up “การทุบ” โดยไม่ต้องสนใจกลไกของการตลาด จะทำให้เกิดรัฐประหารทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะได้ค่าไฟถูกไม่กี่วัน ก่อนจะต้องควักเอาของประชาชนมาจ่าย การลงทุน การส่งออก การจ้างงาน ผลทางเศรษฐกิจ อยู่ในใจของคนทั้งโลกไปนานนับปี ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ใช่มีกลไกสนับสนุนทางด้านภาษีที่ดีแล้วหรือมีมาตรการต่าง ๆ ให้คนมาอยู่ในประเทศไทยอย่างมีความสุขแล้ว แต่ค่าพลังงานก็มีความสำคัญ
“หากมองระยะยาว เชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีเสถียรภาพทางด้านการเงินที่มั่นคง พร้อมดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกมาตั้งฐานผลิตในไทย มีโครงสร้างพื้นฐานในการสนับสนุนให้นักลงทุน ไม่ใช่แค่พลังงานสะอาดอย่างเดียว ซึ่งในเดือนหน้าประกาศยกระดับด้านอุตสาหกรรมทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตั้งฐานผลิต หากการตั้งฐานผลิตแล้วไม่สามารถส่งออกไปได้อย่างสะดวกสบาย อาจจะมีปัญหา ดังนั้น ท่าเรือน้ำลึกเฟส 3 ที่มีความล่าช้าต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ขณะที่รถไฟความเร็วสูงก็มีความจำเป็น บางสายจำเป็นต้องทำรถไฟรางคู่ไปก่อน เพื่อการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการแลนด์บริดจ์ว่า มีความสำคัญในด้านการขนส่ง รองรับหลังจากช่องแคบมะละกาที่คับแคบ ดังนั้น การขนถ่ายสินค้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร ไทยจึงต้องจำเป็นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพี่ใหญ่พี่ใหญ่ รองรับการขนถ่ายสินค้าทั่วโลก ทำให้การค้าระหว่างประเทศดีขึ้น โดยรัฐบาลจะเร่งเจรจาต่อไป ซึ่งหลังจากไปเจรจานักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจ มองภาพรวมของโลกว่าการขนถ่ายสินค้าทั่วโลกเป็นเรื่องที่สำคัญ อะไรทำได้ทำก่อน รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน
“รัฐบาลมีแผนด้านพลังงาน ในระยะยาวที่ชัดเจน โดยจะต้องควบคู่กับการทำโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จะต้องมีการวางรากฐาน ไม่จบในรัฐบาลนี้ ก็ต้องดำเนินการในรัฐบาลต่อไป และต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ มีผู้สื่อข่าวถามผมว่า สิ่งที่ประหลาดใจในการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากที่สุดคือเรื่องใด ผมตอบไปว่ามีกลไกในการบริหารจัดการแผ่นดิน ซึ่งเป็นกลไกที่ต้องการความสมัครสมานสามัคคี ซึ่งเป็นกลไกที่เราต้องการของทุกฝ่าย เป็นคนไกลที่ต้องการสร้างบรรยากาศที่ดีสำหรับการพูดคุยกันในเรื่องที่เห็นที่แตกต่าง ผมเชื่อว่านักธุรกิจที่มาร่วมงานในวันนี้จะทราบถึงความหวังดีของผม และของรัฐบาลที่จะผลักดันกลไกอุตสาหกรรมไปข้างหน้าควบคู่เรื่องพลังงาน” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-314.-สำนักข่าวไทย