รร.พูลแมน คิงพาวเวอร์ 24 ม.ค.-นายกฯ ปาฐกถาเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย เน้นขยายโอกาสสร้างประเทศ-คนไทยมีอนาคตที่ดี ย้ำถ้าไม่เดินหน้าแลนด์บริดจ์จะเสียโอกาสสำคัญ ย้ำจุดยืนต่างประเทศ ไทยเป็นกลาง เผยข่าวดีลงนามฟรีวีซ่าไทย-จีนศุกร์นี้
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา WThailand 2024 The Great Challenge เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” ว่า วันนี้จะขอเน้นที่การขยายโอกาสให้กับคนไทยทุกคน ว่าอีก 4 ปีข้างหน้าจะเห็นอะไรบ้าง อย่างน้อยได้เริ่มต้นโครงการเพื่อที่จะสานต่อส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าของลูกหลาน ซึ่งการสร้างโอกาสก็คือการลงทุนไม่อยากให้อีก 20-30 ปีข้างหน้ามาพูดคำว่า “รู้งี้ เราน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้” อยากให้เอาคำนี้ออกไปจากพจนานุกรม ถ้าเราจะต้องคอยให้ทุกอย่างครบหมดหรือรอบรู้หมด ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประเด็นที่ทำให้เราเสียโอกาส
“เรื่องปากท้องเศรษฐกิจ ผมไม่อยากพูดซ้ำว่าตลอด 4 เดือนกว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง แต่ขอพูดถึงการไป World Economic Forum หรือ WEF ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้นำประเทศทั่วโลก และนักธุรกิจชั้นนำในทุกภาคส่วน ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลไปมาในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้พบปะผู้นำ ภาคธุรกิจต่างๆ ผู้นำองค์กรที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยประเด็นสำคัญหนีไม่พ้นโครงการแลนด์บริจด์ มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ยืนยันว่ารัฐบาลนี้จะรับฟังทุกข้อท้วงติง และต้องมีการทำการศึกษาอย่างเป็นธรรม ซึ่งจากกาาพูดคุยมีนักลงทุน ทั้งจากอินเดียหรือดูไบ สนใจและพร้อมมาพูดคุย มาดูสถานที่จริง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ FTA หรือ การทำสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเราล้าหลังคู่แข่งคนสำคัญคือเวียดนาม ถ้าเราได้ลงนาม FTA กับอียู ก็จะสร้างความมั่นใจและดึงนักลงทุนกลับมา ทั้งนี้ ไม่แปลกใจที่หลายคนพูดถึงการทำธุรกิจของไทย รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้ง FTA เพราะมีขั้นตอนจำนวนมากในการดำเนินธุรกิจ อย่างสวิสเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยารักษาโลกจำนวนมาก และอยากให้ไทยเป็นตลาดสินค้า แต่การนำเข้ามาในแต่ละครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากมาก กว่าจะผ่านขั้นตอนจากอย. ซึ่งตนก็จะไปดูให้ว่ามีบางผลิตภัณฑ์ไหนที่สามารถลดทอนขั้นตอนได้บ้าง ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ ซึ่งในปีหน้า ตนจะไปร่วมประชุม WEF อีกแน่นอน และจะไปให้ยิ่งใหญ่ โดยมีรัฐมนตรีหลายคนไปด้วย ถ้าวางแผนการพบปะและร่วมพูดคุยได้หลายคณะ เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้ไทยเป็นที่น่าสนใจอย่างแน่นอน
“นโยบายหลักของประเทศไทยคือการท่องเที่ยว ซึ่งมีหลายมิติที่เกี่ยวข้อง อะไรทำได้ทำก่อนหรือ ควิกวิน อย่างนโยบายวีซ่าฟรี ก็เริ่มไปที่หลายประเทศ ซึ่งเย็นวันนี้จะมีรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนมาพูดคุย ก่อนที่วันศุกร์(26 ม.ค.) น่าจะลงนามกันได้ ให้เป็นการถาวรวีซ่าฟรีทั้ง 2 ประเทศ ก็ถือว่ายกระดับพาสปอร์ตไทยขึ้นมาอีกระดับ นอกจากนี้ตนได้เจอประธานอียู กับนายกฯ เบลเยี่ยม แล้วก็มีการพูดถึงวีซ่าเชงเก้งด้วย อยากให้เข้าออกฟรีได้เช่นกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประธานาธิบดีเวียดนามมาเสนอของดีให้ พอมาคิดแล้วไม่มีอะไรฟรีในโลก เพราะถ้าไทยเป็นฮับการท่องเที่ยว สายการบินเวียตเจ็ทของเขา ก็จะเป็นฮับไปด้วย สามารถเปิดเส้นทางบินไปเมืองต่างๆ ของเวียดนาม กัมพูชา หรือของไทยได้อีก เพราะเขาก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นี่ถือเป็นการอยู่ร่วมกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ขอให้ติดตาม จะพูดต่อไปอีกประมาณ 1 เดือนข้างหน้า
นายกรัฐมนตรี ได้หยิบยกสนามบินหนองงูเห่า หรือ สนามบินสุวรรณภูมิ มาเปรียบเทียบ กับโครงการแลนด์บริจด์ ถ้าไม่กล้าสร้างกล้าลงทุนเมื่อกว่า 20 ปี ทุกวันนี้ถ้าต้องพึ่งสนามบินดอนเมืองสนามบินเดียว จะเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่เห็นอย่างเดียว หรือฝันอย่างเดียว แต่ต้องลงมือทำด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ในวันนั้นลองฟังเสียงคัดค้านดูว่ามีจำนวนมากขนาดไหน ซึ่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เช่นนี้ ก็ต้องมีการพูดคุยกันในทุกมิติให้ดี แต่เรื่องของโอกาสเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่อยากให้เรามาเสียโอกาสกันอีก เรื่องของสนามบินที่ได้ทำมาซึ่งในวันนี้ทุกคนก็ได้อานิสงส์กันไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการแลนด์บริดจ์เราพอรู้รายละเอียดคร่าวๆ แต่การจะใช้งบลงทุนให้น้อยที่สุด ให้คนอื่นมาลงทุนด้วย เราไม่ใช่แค่ฟังความเห็นของประชาชน แต่ต้องฟังผู้ลงทุนด้วยว่าอยากได้อะไร เป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องกลั่นกรอง ว่าสิ่งที่เขาขอมาเป็นบวกหรือลบมากกว่ากับประชาชน เพราะยังไม่รู้ว่าต้องมีส่งท่อน้ำมันหรือไม่ แต่เราก็เปิดกว้างว่าอาจเป็นหนึ่งในธุรกิจที่อยากให้เขามาลงทุน ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ มีการสร้างโรงงานต่างๆ จะได้ดีไซน์ให้ถูก แต่เรื่องนี้ยังต้องต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 กว่าปี คงจะเสร็จหมด จึงอยากให้มองไปข้างหน้าเหมือนกับสนามบินสุวรรณภูมิ
“จุดยืนการต่างประเทศของไทยเป็นกลาง ไม่ขัดแย้งกับประเทศใด ไม่ว่าจะมหาอำนาจระหว่างสหรัฐฯกั บจีน หรือ อินเดียที่กำลังขยับมาเป็นมหาอำนาจอีกประเทศ เชื่อว่าโครงการเมกะโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่จะทำขึ้นมา ต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าเป็นมิตรกับทุกประเทศ และยินดีร่วมทำธุรกรรมกับหลายประเทศ การที่เรามีโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ ก็สามารถสร้างอำนาจการต่อรองให้กับทุกประเทศ ตราบใดที่เรายังเป็นคนคอนโทรลโครงการนี้ ทุกประเทศก็อยากเข้ามา” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหายาเสพติดว่า เป็นปัญหาใหญ่และบั่นทอนสังคมไทยมายาวนาน โดยไตรมาส 4 ของปี 66 จับยาบ้าได้มากกว่าปี 65 ทั้งปี แต่จับได้เยอะขนาดนี้ ราคาก็ยังไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่ามีเข้ามาเยอะ ซึ่งชัดเจนว่ามาจากเมียนมา เพราะมีปัญหาการเมืองภายในที่ต้องการเงิน การที่ตนไปภาคเหนือหลายครั้ง ไปพูดคุยกับฝ่ายมั่นคงก็ได้รับความร่วมมือดีมากในการตรวจจับ ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีโดรน CCTV ก็จับได้มากจนเริ่มลดลง แต่ข่าวร้ายคือตอนนี้ไปโผล่ที่กาญจนบุรี เรื่องนี้ต้องบริหารจัดการทั้งหมด ทั้งเผายาให้เร็วขึ้น ใช้กฎหมายยึดทรัพย์ต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญเราต้องใส่ใจ เพราะถ้าสถาบันครอบครัวแข็งแรง และทำให้ผู้ซื้อเป็นผู้ป่วยแทน นำมาอบรมสร้างอาชีพ คืนสู่อ้อมกอดพ่อแม่ และมีการติดตามอย่างใกล้ชิด ก็เชื่อว่าสังคมไทยจะดีขึ้น โดยไม่ทำลายโอกาสของเยาวชนไทยที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด
“สำหรับเรื่องของ E-gorvernment ก็ถือเว่าสำคัญ ปัจจุบันเรามีเอกสารที่มากขึ้น ทำให้การดูแลประชาชนมีปัญหา เสียเวลาและเสียโอกาสในการเดินทางไปสถานที่ราชการ ที่ต้องรอหลายๆชั่วโมง ดังนั้นหากใช้เทคโนโลยี และ Cloud เข้ามาพัฒนาภาครัฐ เชื่อว่าจะสามารถช่วยร่นระยะเวลาในการดำเนินเอกสารให้ผู้ประกอบการ และดูแลทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นเงินภาษีของประชาชนได้ ส่วนเรื่องพลังงานสะอาด เป็นจุดแข็งของประเทศไทย เพราะเราทำได้ดี มีเอกชนไทยที่แข็งแกร่ง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องก็ทำได้ดี ประเทศไทยมีพลังงานไฟฟ้าที่มาจากเขื่อน แต่ใครจะรู้บ้างว่าเขื่อนเป็นกำลังสำคัญที่จะสร้างพลังงานสะอาด เพราะสามารถสร้าง Floating solar ขึ้นมาเหนือเขื่อนได้ จึงเป็นเรื่องดี เพราะเราจะได้เปรียบคู่แข่งต่างชาติอย่าง เวียดนาม และอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันเราก็จะพยายามทำราคาค่าไฟฟ้าให้ดีด้วย เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนเรื่องการเกษตร การสร้างโอกาสเป็นเรื่องสำคัญ จึงพยายามให้องค์ความรู้ต่างๆ เพื่อสนองต่อนโยบายสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น ภายในระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา จึงได้เชิญนักธุรกิจที่เล่าเรียนในหลักสูตรต่างๆที่รู้จักลงพื้นที่ในต่างจังหวัดด้วย เพราะอยากให้ไปดูโครงการพระราชดำริฯ ว่าทำกันอย่างไร โดยย้ำไปว่าไม่ต้องการเงิน แต่ต้องการความรัก ความเอาใจใส่ดูแล เนื่องจากการซื้อสินค้าเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ “แต่การให้เขามีโอกาสในการนำสินค้าไปขายในต่างประเทศสำคัญกว่าช่วยลดช่องว่างในความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนที่มีและไม่มี จึงได้พาครอบครัวจิราธิวัฒน์ไปด้วย เพราะเขามีธุรกิจในต่างประเทศ จึงอยากพาทุกคนไปดู แววตาของคนที่มีความฝันที่อยากจะได้โอกาส ทุกหน่วยงานทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมีส่วนร่วมในการผลักดันจนทำให้ทุกวันนี้ราคายาง อ้อย มีราคาสูงขึ้นแล้ว เชื่อว่ายังมีความท้าทายอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้พูด อาทิ รัฐธรรมนูญ สิทธิในการเลือกเพศสภาพ สิทธิในการประกอบอาชีพ แต่ถึงแม้จะไม่ได้พูด ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งและรับฟังทุกเสียง แต่เราเป็นรัฐบาลผสมจึงต้องพูดคุยกันเยอะ ถ้ารัฐบาลช่วยสร้างโอกาส สร้างฐานรากที่ดี ประเทศไทยจะต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลง กับประเทศเพื่อนบ้าน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้แน่นอน ซึ่งเรามีความตั้งใจจริงส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานคนไทยทุกคน” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-315.-สำนักข่าวไทย