“อนุทิน” ตอบข้อสังเกต งบลงทุนมหาดไทย

รัฐสภา 4 ม.ค.-“อนุทิน” ตอบข้อสังเกต งบลงทุนมหาดไทย ย้ำยุทธศาสตร์ มุ่งพัฒนา ลดเหลื่อมล้ำ ชดเชยเสียโอกาสจากวิกฤตโควิด

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวกับงบประมาณกระทรวงมหาดไทย ในการอภิปรายงบประมาณประจำปี 2567 โดยกล่าวว่า ที่ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่ากระทรวงมหาดไทย เป็นกระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณมากที่สุด และมีสัดส่วนงบลงทุนที่สูงเมื่อเทียบกับกระทรวงอื่นๆ ก่อนอื่นต้องขอกราบเรียนว่า ข้อกังวลในการจัดทำงบประมาณแต่แรกนั้น คือความกังวลว่า งบประมาณของกระทรวงมหาดไทย จะไปหนักอยู่ที่งบปฏิบัติการหรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็หมายถึงเราทำงาน routine มาก และทำงานพัฒนาน้อย ในยามที่ประเทศกำลังต้องการการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพื่อชดเชยกับความถดถอยที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิดทั่วโลก


แต่เมื่อได้จัดทำงบประมาณแล้ว มีการจัดสรรเป็นงบลงทุนกว่า 30% ของงบประมาณที่ได้รับ ตามที่ท่านสมาชิกได้กล่าวถึง ก็มีความสบายใจเป็นเบื้องต้นว่าเรามาถูกทาง ในเรื่องการจัดสัดส่วนงบประมาณ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่เราจะพัฒนา งานของกระทรวงมหาดไทย ให้มีความทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที ตามแนวทางที่วางไว้ได้จริง

เพื่อให้ท่านได้เห็นภาพรวม ขอแจกแจงผ่านท่านประธานไปยังสมาชิก และพี่น้องประชาชนว่า ในงบประมาณวงเงิน เกือบ 4.6 แสนล้าบาท ของกระทรวงมหาดไทยนั้น จะถูกแบ่งไปยังส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค องค์การจัดการน้ำเสีย กองทันพัฒนาบทบาทสตรี กองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา


ซึ่งในวงเงินดังกล่าวสำหรับปีงบประมาณ 2567 นั้น เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณที่แล้ว คิดเป็นร้อยละประมาณ 10.5 ซึ่งเป็นสัดส่วนการเพิ่มที่สอดคล้องกับงบประมาณรัฐบาลในภาพรวม โดยหากนำงบประมาณที่จัดสรรเป็นก้อนๆทั้งหมด มาไล่เรียงจากมากไปหาน้อย ตามรายจ่ายเชิงยุทธศาสตร์ จะพบว่า ด้านที่เราใช้จ่ายเงินเป็นสัดส่วนสูงที่สุด คือ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม โดยเป็นวงเงินถึง 3.4 แสนล้านบาทเศษ หรือคิดเป็นเกือบ 75% ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งผมเชื่อว่า เรื่องการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมนี้ ถือว่าอยู่ในลำดับความสำคัญต้นๆของการพัฒนาประเทศ และสามารถตอบสนองความต้องการลดความเหลื่อมล้ำในใจของพี่น้องประชาชนด้วย

นอกจากนี้ ยังมี “ยุทธศาสตร์” ด้านอื่นๆ ที่เราให้น้ำหนักในการจัดสรรงบประมาณ ได้แก่

ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ด้านความมั่นคง ด้านความสามารถในการแข่งขัน ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ด้านการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ตามลำดับ


จะเห็นได้ว่า การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายในเชิงยุทธศาสตร์ของกระทรวงมหาดไทยนั้น นอกจากจะสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของรัฐบาลแล้ว ยังสอดคล้องกับ เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติที่ประเทศไทยมีพันธกิจร่วมด้วย โดยเฉพาะในส่วนของการลดความเหลื่อมล้ำ ขจัดความยากจน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน จึงถือเป็นการจัดสรรงบประมาณ เพื่อการพัฒนา เพื่อความก้าวหน้า อย่างแท้จริง

เพื่อให้ท่านสมาชิกและพี่น้องประชาชน พอเห็นภาพอย่างเป็นรูปธรรม จะขอไล่เรียงคร่าวๆ ถึงโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปี 2567 นี้ ได้แก่

โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย ระยะที่ 2

โครงการที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการประชาชน สนองนโยบาย E-government เช่น โครงการอำนวยการบริหารการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน ในการออกหนังสือผ่านแดนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Border Pass โครงการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิตัล หรือ Digital ID

โครงการสนับสนุนการบูรณาการและการขับเคลื่อนนโยบายในระดับอำเภอ การจัดการฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาชุมชน โครงการของกรมที่ดินที่เกี่ยวกับการพัฒนาสำนักงานที่ดินอิเล็กทรอนิคส์ และการจัดการข้อมูลที่ดิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของสำนักงานที่ดิน เพื่อรองรับสำนักงานที่ดินอิเล็กทรอนิกส์ และโครงการพัฒนาบริการประเภท One Stop Service ต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับโครงการที่จะสร้างความมั่นคงด้านอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการชุมชน การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ไปจนถึงการสร้างความมั่นคงปลอดภัยในสังคม เช่น โครงการที่เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การส่งเสริมสนับสนุนการจัดบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขของท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งโครงการที่ยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ คือการลงทุนที่นอกเหนือจากงานบริการประชาชน ที่จะต้องพัฒนาไปตามรอบและตามแผนระยะยาวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประปาที่เรากำลังเน้นเรื่องน้ำประปาดื่มได้ ไฟฟ้า งานของกรมโยธาธิการและผังเมือง และงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีการปรับปรุงเทคนิควิธีการทำงานให้ทันสมัยขึ้น

จะเห็นได้ว่า งานของหน่วยงานที่ใช้งบประมาณภายใต้กำกับของกระทรวงมหาดไทยนั้น มีทั้งส่วนที่เป็นงานประจำ รายจ่ายประจำ และมีทั้งส่วนที่เป็นการลงทุนพัฒนา เพื่อให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และเป้าหมายใหม่ๆทั้งของรัฐบาลและของประเทศ

นอกจากนั้น เรายังให้ความสำคัญกับ การบูรณาการ กับหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งบางครั้งไม่ได้หมายถึงการใช้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นนะครับ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างการแก้ไขหนี้นอกระบบ ซึ่งเราบูรณาการร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรืองานจัดการจราจร ลดอุบัติเหตุและอาชญากรรมในช่วงเทศกาล ซึ่งเราบูรณาการเป็นอย่างดีระหว่างฝ่ายปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น

ขอเน้นว่า การบริหารราชการแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ได้หมายถึงการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงไม่แพ้กันคือการทำสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงินเพิ่ม แต่มีส่วนในการเพิ่มคุณภาพชีวิตหรือรายได้ของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นงานป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย การปราบปรามผู้มีอิทธิพลไม่ให้เกิดการทุจริตในท้องที่ การปรับเวลาเปิดสถานบริการที่จะเอื้อให้คนทำมาหากินได้มากขึ้นอย่างปลอดภัย การควบคุมอาวุธปืนที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ไม่ต้องเกิดการสูญเสียงบประมาณไปใช้ในเรื่องที่ไม่ควรเกิด หรือการสนับสนุนนโยบายฟรีวีซ่าและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลนักท่องเที่ยว ก็ล้วนแต่ก่อให้เกิดรายได้โดยไม่ต้องลงทุนงบประมาณเพิ่มมากมาย นี่คือสิ่งที่กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญ

ในโอกาสนี้ ขอเรียนให้ทราบด้วยว่า นอกจากงานในส่วนของกระทรวงมหาดไทย และการบูรณาการงานร่วมกันกับหน่วยงานนอกกำกับแล้ว กระทรวงที่อยู่ภายใต้กำกับของผมเองในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมถึง สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ก็มีการเซ็น MoU เพื่อเป้าหมายร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ที่กระทรวงแรงงานก็มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการผลิตและพัฒนากำลังคนในภาคการศึกษาและภาคแรงงาน โดยเน้นการ Up-skill เพื่อให้เกิดโอกาสในการเพิ่มรายได้ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย แรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวง อว.

ทั้งหมด เพื่อตอกย้ำกับทุกท่านว่า นอกจากการจัดสรรงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการทำงาน ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เกิดผลงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการ maximize หรือใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด และนี่คือแนวทางที่ผมใช้กับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานในกำกับทั้งหมด

สุดท้ายขอเรียนให้ความมั่นใจ ผ่านท่านประธานไปยังเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพี่น้องประชาชนว่า กระทรวงมหาดไทยจะใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และเรายินดีรับฟังทุกความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อปรับปรุงในรายละเอียดที่เป็นไปได้ต่อไป เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน.-317.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]