รมช.คลัง ย้ำเดินหน้า “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” กระตุ้น ศก.ประเทศ

พรรคเพื่อไทย 10 ต.ค. – สส.เพื่อไทย แจงที่ประชุมพรรค ประชาชนต้องการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ด้าน รมช.คลัง ย้ำเดินหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ ขณะที่ “แพทองธาร” เชื่อหากนโยบายสำเร็จ ต่างชาติจะดูเป็นตัวอย่าง


พรรคเพื่อไทยมีการประชุม สส.พรรค ประจำสัปดาห์ โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธาน สส.พรรค, นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และรองประธานกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เข้าร่วมการประชุม

ช่วงหนึ่งที่ประชุมเปิดให้ สส. อาทิ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์, นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ สส.กาญจนบุรี, น.ส.ชนก จันทาทอง สส.หนองคาย, น.ส.ศรีโสภา โกฏคําลือ สส.เชียงใหม่ ได้สอบถามเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมสะท้อนความเห็นว่าประชาชนทุกคนต่างเฝ้ารอนโยบายดังกล่าว อยากให้เริ่มโครงการได้โดยเร็วที่สุด และต้องการให้ขยายรัศมีในการใช้เงินมากกว่า 4 กิโลเมตร เพราะในบางพื้นที่ลำบากในการเดินทางใช้จ่าย เช่น พื้นที่บนเขาบนดอย รวมทั้งผู้สูงอายุที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เน็ต จะสามารถใช้เงินในโครงการนี้ได้หรือไม่


นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า วันนี้มารับฟังตัวแทนของประชาชนในการสะท้อนปัญหานโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อรับฟังแล้วก็ดีใจที่เห็นตรงกันว่านโยบายนี้มีความจำเป็น เบื้องต้นขอชี้แจงว่ารัฐบาลรับฟังทุกเสียงทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน ขณะนี้เสียงในสังคมเป็นสองส่วน ทั้งเห็นด้วยอยากให้เดินหน้าโครงการให้เรียบร้อย และอีกส่วนหนึ่งขอให้ยับยั้งได้หรือไม่ ในฐานะรัฐบาลเรารับฟังทั้งหมด แต่ในภาคเอกชนที่รับฟังมาอยากเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายนี้ ส่วนประชาชนได้สะท้อนเป็นเสียงเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าให้เดินหน้าโครงการเพื่อให้เงินตัวนี้ต่อยอดชีวิตของเขา

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้สถานการณ์ในประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เข้มแข็ง มุมมองที่เสนอออกมาหลายมุมมอง แม้จะเป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็เป็นในมุมมองรักษาเสถียรภาพ แต่กลไกที่เป็นเครื่องมือในการบริหารเศรษฐกิจคือ กลไกทางการเงินและกลไกทางการคลัง ซึ่งกลไกทางการเงินอยู่ในมือ ธปท. เป็นหลักในการรักษาเสรีภาพระบบเศรษฐกิจ แต่กลไกในการคลังอยู่ในกระทรวงการคลังและรัฐบาล เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าประเทศไทยอยู่ในสถานะของสังคมผู้สูงอายุ และมีความเสี่ยงต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไปประเทศไทยเติบโตเหมือนกับ 10 ปีที่ผ่านมาโตไม่ถึง 2% จะถึงจุดที่แตกหัก คือรายรับของรัฐและงบประมาณของรัฐไม่สามารถเติบโตไปกับสวัสดิการที่จะให้กับประชาชนทั้งผู้สูงอายุหรือใครก็ตาม ซึ่งเป็นความเสี่ยง ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลมองเราเห็นแล้วว่าการเติบโตของประเทศไทยใน 10 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถโตได้เต็มศักยภาพ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน บ้านเรายังโตเพียงแค่ปีละ 3% กว่าๆ ซึ่งต่ำกว่าภูมิภาคมากมาย

นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดึงประเทศไทยให้กลับมาเติบโตเหมาะสมกับศักยภาพและคนในประเทศเอง รัฐบาลจึงมองว่าการเติบโตในระดับ 5% เป็นระดับที่มีความเหมาะสมเป็นอย่างต่ำ กลไกที่จะใช้หนึ่งในนั้นคือ ตัวนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่ไม่ได้มีในปีกเดียว แต่รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความครอบคลุมหลายมิติ ซึ่งเมื่อไปเปิดดูนโยบายเร่งด่วนที่เราแถลงนโยบายไปเมื่อเดือนกว่าๆ เราทำไปเกือบหมดแล้ว และปีหน้าคิดอยู่ว่าทำอะไรเพราะเราทำไปหมดเล่มแล้ว นี่คือสิ่งที่เราต้องรีบแก้ไขให้กับประชาชน


ทั้งนี้ สิ่งที่เราทำนอกจากการเดินหน้านโยบายเงินดิจิทัลคือ การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาไฟฟ้าที่เหลือ 3.99 ราคาน้ำมันดีเซล วีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวบางประเทศ ตอนนี้ยอดการจอง ยอดการเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นโยบายที่เราไปกิโยตินกฎหมายที่เป็นข้อกำจัดต่างๆ ในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพของประชาชน เราเดินหน้าหมด ซึ่งเวลาเราดูเราต้องดูเป็นแพ็กเกจใหญ่ และยืนยันว่านโยบายนี้จะทำให้ชีวิตพี่น้องประชาชนดีขึ้น

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สิ่งที่เรากำลังเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ตอบคำถามได้หลายประเด็น แต่ขณะนี้มีความเข้าใจค่อนข้างสับสน บางส่วนอาจจะเป็นเรื่องของมุมมองทางการเมืองที่ต้องการโจมตีในตัวนโยบายหรือบุคคลของเราก็ตาม จึงขอฝาก สส. ที่สัมผัสกับประชาชนอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดในการที่จะช่วยรัฐบาลชี้แจงเพื่อความเข้าใจในหลายประเด็น เรื่องแรกคือความจำเป็นของนโยบาย ซึ่งตนชี้แจงไปแล้วว่าประเทศไทยไม่ได้โตตามศักยภาพ มีความจำเป็นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเฟ้อถามว่าห่วงหรือไม่ ยืนยันว่าไม่กระทบมาก เพราะเงินเฟ้อช่วงที่ผ่านมามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% เป็น 2.50% เพิ่มมา 5 จุด ซึ่งสามารถหยุดยั้งสถานการณ์เงินเฟ้อในระดับที่น่าพึงพอใจ เป็นนโยบายของ ธปท. เงินเฟ้อจาก 5% ขณะนี้เหลือ 0.3% ต่อให้มีนโยบายนี้เข้ามา เราก็มีกลไกควบคุมดูแลให้ความเหมาะสม แต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องขยายฐานขยายเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

ส่วนเรื่องที่สองกรณีที่มีกล่าวหาว่านโยบายนี้จะไปซื้อคริปโทฯ จากต่างประเทศมาแจกประชาชน นี่เป็นความเข้าใจผิด เราไม่ได้แจกเงินเหรียญคริปโทฯ เงินนี้คือเงินบาทเดิม เพราะเงินบาทที่ไปอยู่ในรูปแบบของดิจิทัลวอลเล็ตทุกบาท จะต้องถูกแบ็กด้วยเงินบาทของไทยจริงๆ มันจะไม่มีการเปลี่ยนค่าหรือเก็งกำไรได้ มันคือเงินบาทในรูปแบบดิจิทัล คิดง่ายๆ คือเปรียบเสมือนเป็นคูปองที่เทียบเท่ากับเงินบาทจำนวนเงิน 10,000 บาท แต่มีการเขียนเงื่อนไขลงไปในคูปองด้วย การอธิบายแบบนี้จะเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจเพราะเราต้องการให้เงินนี้กระตุ้นและเกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจจริงๆ ถึงได้กำหนดว่าต้องใช้ภายใน 6 เดือน ต้องใช้กรอบระยะทางที่กำหนด และห้ามเอาไปใช้ในบางประเภท

“นโยบายนี้จะเป็นนโยบายแรกที่จะหมุนเวียนเศรษฐกิจมากกว่านโยบายใดๆ ก็ตามที่ประเทศไทยเคยใช้มา โดยไม่กล้าไปเทียบกับในโลก แต่อาจจะมากที่สุดในโลกก็ได้ เพราะในโลกไม่เคยมีกลไกนี้ ในการส่งเม็ดเงินไปยังประชาชนแล้วให้เขียนกลไกให้มันเกิดการหมุนเวียนลงทุนและการใช้จ่าย ซึ่งเมื่อจะมีการใช้จ่าย เราก็เห็นประชาชนในหลายจังหวัดเตรียมรอรับนโยบายนี้ ด้วยการเตรียมการลงทุนในภาคการผลิต ไปจ้างงาน ไปซื้อสินค้าประเภททุนมารองรับ เมื่อเงินมาถึงก็สามารถนำเงินส่วนนี้มาลงทุนในการประกอบอาชีพ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า เม็ดเงินเหล่านี้จะไม่ได้ลงเพียงแค่นี้ เพราะเราได้มีการพูดคุยกับสถาบันการเงินของรัฐบางแห่ง เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน สิ่งที่เขาต้องการทำคือเมื่อประชาชนจะนำเม็ดเงินที่บอกว่ามาจากดิจิทัลวอลเล็ต หากสามารถรวมกลุ่มกันได้หรืออาจจะไปคนเดียวก็ตามแล้วมีแผนลงทุนในการประกอบอาชีพที่ชัดเจน แล้วไปคุยกับธนาคารของรัฐก็พร้อมที่จะให้กู้เงินเพิ่มเติมเพื่อไปประกอบอาชีพ นี่คือการสร้างเม็ดเงินมหาศาลในกระบวนการลงทุนและเม็ดเงินในประเทศไทย

“สิ่งที่เราเดินหน้ามาขณะนี้เราเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ เราเห็นโอกาส เห็นความหวังของประชาชนว่าเขาจะสามารถนำเม็ดเงินเหล่านี้ไปต่ออายุ ไปยื้อชีวิต ไปประกอบอาชีพสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ ยังกล่าวว่า เราพร้อมที่จะผ่อนปรนในเรื่องพื้นที่ โดยอนุกรรมการขับเคลื่อนเรารับฟังและมีการพูดคุยกันในสัปดาห์นี้ เพื่อที่จะนำสิ่งที่ทุกท่านแสดงความเห็นและประชาชนส่งสัญญาณมาเข้าพิจารณาและพร้อมที่จะผ่อนปรนเพื่อให้มันเกิดประโยชน์สูงสุดกับการใช้เม็ดเงินตัวนี้ โดยอาจจะขยับเพิ่มจาก 4 กิโลเมตรเป็นตำบลเป็นอำเภอก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงตนเชื่อว่ากลไกทางใช้เม็ดเงินจะเกิดการสะดวก และคล่องตัวและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจะมีเพิ่มมากขึ้น

ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้แคปวงเงินว่าคนรวยอาจจะไม่ได้ประโยชน์นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กลไกทำนโยบายต้องมีการยืนยันตัวตนระดับหนึ่ง ถ้าใครไม่ยืนยันตัวตนถือว่าสละสิทธิ์ ถ้าใครไม่ต้องการเข้าโครงการก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของประชาชน แต่เรากำลังดูอยู่และขอข้อมูลแล้วว่าถ้าเราจะหาเกณฑ์ในบอกว่าใครรวย ใครจนจะใช้เกณฑ์อย่างไร เช่น รายได้ที่ไปยื่นแบบต่อสรรพากรหรือบัญชีเงินฝากว่ามีเงินเท่าไร แต่เราต้องหาตัวเลขที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และมันเป็นตัวเลขที่สามารถพิสูจน์ชัดได้ว่าเราจะทำด้วยความยุติธรรม

ส่วนคำถามเรื่องผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้นั้นจะแก้ไขอย่างไร เบื้องต้นตอนที่เราคิดโครงการ เราคิดว่าจะให้เขาต้องไปเดินยืนยันตัวตนที่ธนาคารของรัฐ เมื่อยืนยันตัวตนแล้วอาจจะมีกระดาษมาหนึ่งใบ และมีคิวอาร์โค้ดให้ไปซื้อของแลกเปลี่ยนกับคนที่มีแอปพลิเคชัน หรือคนที่มีสมาร์ทโฟนได้เลย แต่เรากำลังหาหนทางที่จะทำให้ดีกว่านี้ คือเมื่อยืนยันตัวตนแล้วจะบันทึกในบัตรประชาชน แล้วนำใช้บัตรประชาชนกับแอปพลิเคชันของอีกคนหนึ่ง เพื่อทำการแลกเปลี่ยนได้ แต่ต้องมีการยืนยันใบหน้า เพื่อไม่ให้สามารถให้ใครไปแอบอ้างหรือใช้บัตรประชาชนของท่านไปขึ้นเงินได้ ก็ขอให้สภาผู้แทนราษฎรไปทำความเข้าใจกับประชาชนว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายหลักและเป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่กับประชาชน แต่หากให้พูดตรงๆ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ประชาชนเป็นกลไกมาช่วยรัฐบาลเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมันเกิดขึ้น

ขณะที่นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า สส. ได้ลงพื้นที่และพูดคุยกับประชาชน ไม่ได้มีข้อที่บอกว่าควรทำหรือไม่ควรทำ แต่ถามมากกว่าว่าจะได้เมื่อไร ฉะนั้นประชาชนในพื้นที่กำลังรอคอยนโยบายนี้อย่างใจจดใจจ่อ เราเห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้ถูกกระตุ้นในภาพรวมและภาพใหญ่แบบนี้มานานแล้ว จึงหวังว่านโยบายนี้จะช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศได้ครั้งใหญ่ ถามว่าใหญ่แค่ไหนก็ใหญ่เท่าที่ว่าหากเราทำสำเร็จต่างชาติจะดูเราเป็นตัวอย่างด้วยซ้ำว่าเราทำได้อย่างไร ทั้งนี้ ตอนที่เราหาเสียงต้องกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนและทั่วถึง ทั้งประชาชนที่อยู่ไกลอาจจะมีรายละเอียดต่างๆ ให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

นางสาวแพทองธาร กล่าอีกว่า นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่สำคัญอย่างมาก และแน่นอนว่ารัฐบาลนี้เรามีนโยบายอื่นๆ ที่ทำควบคู่กันไปด้วยและเริ่มคิกออฟไปแล้ว เราจะเริ่มเห็นผลสำเร็จค่อยๆ ตามมาในแต่ละนโยบาย อย่างไรก็ตาม นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะนำไปสู่การจ้างงานและเกิดการสร้างอาชีพ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จะได้รับผลประโยชน์ทั่วกัน อีกทั้งรัฐบาลจะได้ผลตอบแทนมาในรูปแบบของภาษี ซึ่งภาษีที่ได้กลับมาจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณในการพัฒนานโยบายอื่นๆ ต่อยอดอีก เพื่อพัฒนาประเทศและช่วยเหลือและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้

“วันนี้ที่เราได้ประชุมกันรับฟังความคิดเห็นจาก สส. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง และมาคุยกับรัฐมนตรีแล้ว ขอฝากรัฐบาลไว้ด้วยว่าให้ทำนโยบายนี้ให้สำเร็จอย่างที่เราได้บอกกับประชาชนไว้ เพื่อรัฐบาลเข้มแข็งและประชาชนทุกคนจะได้รับประโยชน์ไปพร้อมกัน” นางสาวแพทองธาร กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” ถก สมช.-ครม.นัดพิเศษ พิจารณาข้อตกลงหยุดยิง

ทำเนียบรัฐบาล 6 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ พิจารณาข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ด้าน “บิ๊กเล็ก” ตั้งเกณฑ์วัดความจริงใจกัมพูชา 3 ระดับ บอกผ่าน GBC ระดับเลขาฯ แล้ว เบื้องต้นบรรลุข้อลงหยุดยิง ตามข้อเสนอ 8 ข้อ ขอรอดูปฏิบัติจริง ย้ำ MOU43 ยังมีประโยชน์เป็นข้ออ้างกล่าวหาเขมรได้-ขอสบายใจ ยึดประโยชน์ชาติ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีรัฐพิเศษเพื่อที่จะรับรองข้อตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ภายหลังคณะเลขานุการ GBC ไทย ได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อหารือในวงเล็กมาก่อนหน้านี้ โดยบรรยากาศการประชุมมีบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอาทิ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายชูศักดิ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย รวมถึงคณะเลขานุการ GBC เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง พลเอกณัฐพล เปิดเผยก่อน การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) […]

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจสอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย