ศาลรธน.ไม่มีอำนาจชี้การทำงานในสภาฯ

กรุงเทพฯ 25 ก.ค.-อดีตตศร.ระบุศาลรธน.ไม่มีอำนาจวินิจฉัยกระบวนการเลือกนายกฯ เป็นเรื่องของประธานรัฐสภาที่ตัดสินใจตามข้อบังคับ แยกงานตุลาการ-นิติบัญญัติชัด สงสัยผู้ตรวจฯ มีอำนาจอะไรส่งให้ศาลฯ โยนเผือกร้อนเพราะกลัวทัวร์ลง


นายสุพจน์ ไข่มุกด์ อดีตรองประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)และอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ(ตศร.) ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวไทย” กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยกระบวนการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมาชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีออกไปก่อนว่า หากยังเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ศาลฯ รับไว้พิจารณาแต่อาจจะไม่วินิจฉัย โดยอาจจะตีตกไป เพราะไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ  เนื่องจากการพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องของรัฐสภา ที่จะต้องพิจารณาว่าจะลงมติกันอย่างไร ขึ้นอยู่กับประธานรัฐสภาจะวินิจฉัยไปตามกฎข้อบังคับของรัฐสภา

“จะเอาอำนาจของฝ่ายตุลาการไปแทรกแซงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้ หากแทรกแซงจะทำให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้คือการวินิจฉัยเกี่ยวกับร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่สภาฯ พิจารณามาแล้วว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่กรณีนี้เป็นกฎข้อบังคับของรัฐสภา จะทำอย่างไรถือเป็นอำนาจของรัฐสภา อยู่ที่ว่ารัฐสภาจะเห็นอย่างไร คำว่าญัตติคือการขอความเห็น ซึ่งต้องดูในความหมายกว้าง เรื่องนี้เป็นไปตามการแยกอำนาจระหว่างอำนาจตุลาการและอำนาจนิติบัญญัติที่แยกกันชัดเจน แม้ว่าอำนาจของตุลาการจะผูกพันทุกองค์กร แต่ไม่ใช่กรณีนี้ ซึ่งกรณีนี้ไม่สามารถใช้อำนาจตุลาการมาครอบคลุมได้” นายสุพจน์ กล่าว


อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งข้อสังเกตว่า ในขั้นต้นผู้ตรวจการแผ่นดิน ยังสงสัยว่ามีหน้าที่ และมีอำนาจในการส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นลักษณะคล้ายบุรุษไปรษณีย์ที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิ หน้าที่ของเอกชน ของบุคคล แต่กรณีนี้เป็นเรื่องขององค์กร ซึ่งไม่เข้าข่าย ซึ่งการที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องมาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เสมือนการโยน “เผือกร้อน” โดยไม่ต้องรับผิดชอบ และป้องกันปัญหา “ทัวร์ลง”.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

New Zealanders march towards Wellington to protest Indigenous treaty bill

ชาวเมารีเต้นฮากาประท้วงร่าง กม.นิวซีแลนด์

เวลลิงตัน 15 พ.ย.- ผู้คนในหลายเมืองทั่วนิวซีแลนด์เข้าร่วมการเดินขบวนมุ่งหน้าไปยังกรุงเวลลิงตัน เพื่อประท้วงร่างกฎหมายลิดรอนสิทธิของชนพื้นเมือง โดยมีการเต้นฮากาที่เป็นวัฒนธรรมของชาวเมารีในระหว่างการประท้วงด้วย รัฐสภานิวซีแลนด์ผ่านความเห็นชอบในเบื้องต้นเมื่อวานนี้ เรื่องการตีความใหม่สนธิสัญญาอายุ 184 ปี ที่มกุฎราชกุมารอังกฤษกับหัวหน้าชาวเมารีมากกว่า 500 คนลงนามในปี พ.ศ.2383 กำหนดเรื่องการปกครองนิวซีแลนด์ร่วมกัน ซึ่งเป็นแนวทางในการออกกฎหมายและนโยบายของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงตามเมืองต่าง ๆ ทั่วนิวซีแลนด์ โดยมีการจัดเดินขบวนเป็นเวลา 9 วันมุ่งไปยังกรุงเวลลิงตัน คาดว่าขบวนจะถึงเมืองหลวงในวันที่ 19 พฤศจิกายน ตำรวจแถลงวันนี้ว่า มีคนประมาณ 10,000 คน เข้าร่วมการเดินขบวนในเมืองโรโตรัว ห่างจากกรุงเวลลิงตันไปทางเหนือราว 450 กิโลเมตร ผู้ประท้วงแต่งกายในชุดชนพื้นเมือง มีการเต้นฮากาที่เป็นวัฒนธรรมของชาวเมารี โดยได้รับการต้อนรับจากคนจำนวนมากที่มาโบกธงเมารีและร่วมร้องเพลง.-814.-สำนักข่าวไทย

วัดอรุณฯ เนืองแน่น นักท่องเที่ยวแห่ร่วมงานลอยกระทง

นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติแน่นวัดอรุณฯ ร่วมงานประเพณีลอยกระทง 2567 “ลอยกระทง วิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” มีน้องหมูเด้ง Thai Cuteness นำนักท่องเที่ยวแต่งชุดไทยสืบสานคุณค่าวัฒนธรรม นางสาวไทย(ดินสอสี) ชวนรำวงลอยกระทง 6 ภาษา ผลักดันเทศกาลไทยสู่ World Event หมุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

“เจ๊พัช” ขอโทษรัฐมนตรีน้ำ ยืนยันไม่รู้จักส่วนตัว

“กฤษอนงค์” โพสต์ขออภัยรัฐมนตรีน้ำและคุณพ่อ ปมคลิปเสียงแอบอ้าง พร้อมขอน้อมรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว แจงเป็นการสนทนาแนวทางส่งเสริมอาชีพเท่านั้น

“จิราพร” มอบทนายนำคลิปเข้าแจ้งจับนักร้องเรียนหญิงอ้างชื่อรีดทรัพย์

ทนายความ “รมต.” นำคลิปเข้าแจ้งจับนักร้องเรียนหญิง อ้างชื่อเรียกรับเงินกลุ่ม “ดิไอคอน” ยืนยันไม่เคยรู้จักกัน

ข่าวแนะนำ

ซูเปอร์มูน

ทั่วโลกแห่ชมซูเปอร์มูนครั้งสุดท้ายของปีนี้

เมื่อคืนที่ผ่านมาผู้คนทั่วโลกมีโอกาสได้ชมดวงจันทร์ที่เรียกว่าซูเปอร์มูนซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้

หารือสีจิ้นผิง

นายกฯ หารือ “สี จิ้นผิง” ขยายความร่วมมือการค้า-ลงทุน

นายกรัฐมนตรี หารือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น พร้อมแลกเปลี่ยนการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนสองประเทศ พร้อมอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากปักกิ่งประดิษฐานท้องสนามหลวง