“ก้าวไกล” เปิดทาง “เพื่อไทย” จัดตั้งรัฐบาล  

พรรคก้าวไกล 21 ก.ค. – “ก้าวไกล” เปิดทาง “เพื่อไทย” จัดตั้งรัฐบาลตามมติประชาชน พร้อมเสนอชื่อแคนดิเดตในการประชุมครั้งหน้า ยังยืนยันเดินหน้าตั้งรัฐบาลให้สำเร็จเพื่อสกัดกั้นขั้วอำนาจเดิม ปัดตอบลดเพดานแก้ไข ม.112


นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลว่า จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นการประกาศเจตจำนงของพี่น้องประชาชนที่ชัดเจนแล้วว่าต้องการลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคอันดับ 1 ในการจัดตั้งรัฐบาล เราจึงเดินหน้าทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ เพื่อหยุดยั้งขั้วอำนาจรัฐบาลเดิมให้ได้ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าทุกองคาพยพมีความพยายามที่จะทำทุกวิถีทางไม่ให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ โดยอ้างเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความจงรักภักดีมาขัดขวาง รวมถึงใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือ เพื่อพยายามตัดสิทธิและยุบพรรคก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ทางฝั่งสมาชิกวุฒิสภาก็ใช้ระบบรัฐสภามาทำลายหลักการตีความข้อบังคับของการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 มาแย้งให้ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพียงเพื่อต้องการขัดขวางไม่ให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุนี้ พรรคก้าวไกลจึงจำเป็นต้องขอโทษพี่น้องประชาชนที่เรายังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลตามเจตจำนงของทุกคนได้

อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า เราจะยังคงเดินหน้าหยุดยั้งขั้วอำนาจของรัฐบาลชุดเก่าต่อไป เนื่องจากการนำประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเราขอเปิดทางให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 2 เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลแทน


“การประชุมร่วมรัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งหน้า พรรคก้าวไกลจะลุกขึ้นเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งที่ผ่านมา” นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช ปฏิเสธที่จะตอบว่า พรรคเพื่อไทยเสนอเงื่อนไขใดบ้าง มีการเสนอให้ถอยเรื่องนโยบายแก้ไขมาตรา 112 หรือไม่ รวมถึงเรื่องโควตาคณะรัฐมนตรี เพราะทุกรายละเอียดจะรอการประสานงานจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งคาดว่าจะประสานมาภายใน 1-2 วันนี้ ดังนั้นจะมีเงื่อนไขอะไร หรือยอมรับได้หรือไม่ ต้องรอฟังพรรคเพื่อไทยก่อน

ส่วนงื่อนไขที่มีพรรคก้าวไกล ไม่มีลุง ยังคงเดิมหรือไม่นั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า เป็นจุดยืนที่ชัดเจนอยู่แล้ว โดยไม่ต้องมีการพูดคุยกัน เป็นสิ่งที่ได้พูดกับพี่น้องประชาชนตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลคงไม่อาจเสียสัจจะในเรื่องนี้ได้ แต่ระบุว่าอย่าเพิ่งรีบสรุปว่าพรรคก้าวไกลจะถอยไปเป็นฝ่ายค้านหรือไม่


สำหรับกระแสข่าวว่าถ้าเพื่อไทยอาจจะนำ ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐมาเข้าร่วมรัฐบาล นายชัยธวัช ระบุว่า อย่าเพิ่งคิดไปแทนเพื่อไทย มีกระแสข่าวมาเยอะแต่การพูดคุยอย่างเป็นทางการยังไม่เกิดขึ้น

นายชัยธวัช ยังระบุว่า สมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคก้าวไกลมีความเห็นเป็นไปตามมติที่ได้แถลงไป รวมถึงพิธา ก็ให้ความยินยอมในฐานะหัวหน้าพรรค

เมื่อถามความเห็นว่า คิดอย่างไรถ้าพรรคก้าวไกล เสนอชื่อแคนดิเดต คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ชัยธวัช กล่าวว่า เป็นใครก็ได้ พรรคก้าวไกลโดยหลักการไม่จำกัดเรื่องตัวบุคคล แต่ยืนยันว่าในการประชุมรัฐสภาครั้งหน้า พรรคก้าวไกลพร้อมจะเสนอชื่อแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่ก็ขึ้นอยู่กับมติของพรรคเพื่อไทยว่าจะเสนอใครเป็นแคนดิเดต

นายชัยธวัช ยังยืนยันว่า พรรคก้าวไกลไม่ยอมรับในมติของรัฐสภาที่อ้างข้อบังคับที่ 41 ไม่ให้เสนอชื่อ พิธาซ้ำ โดยพรรคก้าวไกลมองว่าเป็นกระบวนการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ยังไม่ได้พูดคุยกันในพรรคว่าจะยื่นเรื่องนี้ต่อผู้ตรวจการแผ่นดินหรือไม่

ส่วนข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทำงานของประธานรัฐสภา พรรคก้าวไกล มองว่า ประธานสามารถวินิจฉัยได้ แต่ประธานคงเห็นว่าควรให้สมาชิกได้อภิปรายถกเถียงกันอย่างเต็มที่ก่อนลงมติ แต่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ก็หวังว่ารัฐสภาชุดนี้จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก

ส่วนความเสี่ยงที่พรรคก้าวไกลจะถูกยุบพรรค นายชัยธวัช กล่าวว่า ขณะนี้มีอยู่สองคดี คือ เรื่องของหุ้นไอทีวี และเรื่องคดีล้มล้างการปกครอง จากนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งสองคดีไม่มีการร้องให้ยุบพรรค แต่เราจะประมาทไม่ได้ เพราะเห็นได้ชัดเจนว่า 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในระบบนิติรัฐปกติ องค์กรอิสระ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ถูกตั้งคำถามถึงหลักเกณฑ์และบทบาทในการเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่

นายชัยธวัช ยังระบุอีกว่า ไม่ได้คำนวณถึงเหตุการณ์ด้านลบที่จะเกิดขึ้นหลังจากถอยให้กับพรรคเพื่อไทย ทั้งตำแหน่งประธานรัฐสภา และตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คำนึงแต่เพียงว่าทำจะทำอย่างไรให้การจัดตั้งรัฐบาลตามมติมหาชนเกิดขึ้นได้โดยเร็วที่สุด

”ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่คุณพิธาต้องเป็นนายกหรือไม่ แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องยึดกุมไว้คือต้องยึดตามมติมหาชน คือ ต้องผลักดันให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อยุตติการสืบทอดอำนาจของขั้วรัฐบาลเดิมให้ได้” นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาจากการเสนอชิ่อแคนดิเดตนายกฯ เพียงชื่อเดียว และหากมองย้อนกลับไป พรรคก้าวไกลก็จะทำเหมือนเดิม เพราะเห็นได้ชัดเจนว่าหลายองคาพยพ ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ล้วนแสดงออกอย่างเด่นชัด เปิดเผยว่าไม่ต้องการเห็นพรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ จะด้วยความไม่ต้องการสูญเสียอำนาจ เสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือไม่อยากเห็นนโยบายที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง แต่เราจะยืนยันว่าจะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะทำให้ภารกิจ ซึ่งประชาชนมอบให้ในวันเลือกตั้งสำเร็จให้ได้

“คนที่ไม่ยอมรับในความเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมรับในหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยต่างหาก ควรจะมีสำนึกว่าการกระทำแบบนี้จะไม่ส่งผลดีต่อบ้านเมืองในระยะยาว” นายชัยธวัช กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากเปลี่ยนแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาเป็นพรรคเพื่อไทยแล้ว จะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นหรือไม่ นายชัยธวัช ตอบว่า “ก็ควรต้องเป็นอย่างนั้น” .- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

วิศวกรรมสถานฯ ห่วงดินอ่อนเสี่ยงขยายวง หลังถนนหน้า รพ.วชิรพยาบาล ทรุดตัว

กรุงเทพฯ 24 ก.ย. – วิศวกรรมสถานฯ ตรวจสอบเหตุถนนทรุด หน้า รพ.วชิรพยาบาล เบื้องต้นพบยังมีน้ำรั่วซึม ทำให้ดินใต้ถนนอ่อนตัว มีโอกาสสไลด์เพิ่ม หากมีฝนตกลงมา นายธเนศ วีระศิริ ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุผิวจราจรทรุดตัวบริเวณถนนหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ายังมีน้ำรั่วซึม ทำให้ดินใต้ถนนอ่อนตัวและมีโอกาสสไลด์เพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะหากมีฝนตกลงมา จะเพิ่มความเสี่ยงให้พื้นที่ไม่คงตัวมากขึ้น ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเร่งหาทางปิดแหล่งน้ำที่รั่วซึม ทั้งจากท่อประปาและท่อระบายน้ำ ซึ่งยังมีน้ำไหลออกมาเป็นระยะ หากสามารถหยุดได้จะช่วยสร้างเสถียรภาพชั่วคราวให้กับดิน และลดโอกาสการขยายวงของการทรุดตัว พร้อมกันนี้มีการนำเครื่องมือสำรวจ เช่น 3D Scan มาช่วยวัดความกว้าง ความยาว และความลึกของหลุม เพื่อประเมินความปลอดภัยและแนวทางแก้ไขอย่างชัดเจน สำหรับอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาล (สน.ใหม่) พบว่าเสาเข็มบางต้นหักหรือแตกร้าว ทำให้ต้องตรวจสอบรอยร้าวของโครงสร้างอาคารอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอันตรายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ นายธเนศ เน้นย้ำว่า มาตรการสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือการปิดกั้นพื้นที่เสี่ยงและไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าใกล้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้วิศวกรรมสถานฯ ได้เสนอแนวทางเบื้องต้น คือการควบคุมน้ำไม่ให้รั่วซึม การกั้นเขตพื้นที่เสี่ยง และการติดตามโครงสร้างอาคารโดยรอบอย่างต่อเนื่อง ก่อนประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าพื้นที่จะกลับมาเสถียรและปลอดภัยเมื่อใด ด้านนายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยหลังลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณถนนทรุด […]

นายกฯ รุดตรวจถนนยุบ สั่งเร่งหาสาเหตุ คุมสถานการณ์ได้แล้ว

สามเสน 24 ก.ย.- นายกฯ รุดตรวจเหตุถนนสามเสนยุบตัว ขึ้นตึกวชิรพยาบาล ดูมุมสูง ชี้ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว บอกไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่ทรัพย์สินเสียหาย ห่วง สน.สามเสน เสาเข็มขาด 2-3 ต้น ประสานโรงพยาบาลในเครือ รองรับผู้ป่วย มอบโยธารวบรวมผู้เชี่ยวชาญหาสาเหตุที่แท้จริง ด้าน รฟม. น้อมรับชดเชยค่าเสียหายทุกอย่าง ขณะผู้ว่าฯ กทม. สั่งเตรียมเครื่องสูบน้ำ หวั่นฝนถล่มซ้ำ กันประชาชนเข้าใกล้รัศมี 100 เมตร ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 10.35 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ ถนนสามเสน บริเวณด้านหน้า โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รอรับและรายงานสถานการณ์ และการลงพื้นที่ครั้งนี้มี น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายไชยชนก […]

สั่งหยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง พื้นที่เกิดเหตุถนนทรุด

กรุงเทพ 24 ก.ย.- รฟม. สั่งการให้หยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงในพื้นที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ตามที่เกิดเหตุพื้นถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ใกล้เคียงกับจุดก่อสร้างทางขึ้น-ลงที่ 4 สถานีวชิรพยาบาล (PP19) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กันยายน 2568 นั้น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แจ้งให้นางมัลลิกา จิระพันธุ์วานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ร่วมกับนายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยในเบื้องต้น ผู้ว่าการ รฟม. พร้อมด้วยผู้อำนวยการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ และทีมงาน ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างบริเวณพื้นที่เกิดเหตุในทันที เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ พร้อมทั้งปิดกั้นพื้นที่ก่อสร้างบางส่วน และอพยพประชาชนโดยรอบออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย รฟม. ได้ประสานหน่วยงานสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง ทั้งการประปานครหลวง การไฟฟ้านครหลวง บริษัทโทรคมนาคม และตำรวจในพื้นที่ เพื่อเร่งแก้ไขสถานการณ์ รวมถึงจัดการจราจรในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้สัญจร ทั้งนี้ […]

วชิรพยาบาลปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน เหตุถนนทรุดไม่กระทบอาคาร

24 ก.ย.- คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ยันตัวอาคารโรงพยาบาลไม่ได้รับผลกระทบ ขอปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน รับกังวลการมาทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กล่าวถึงกรณีการทรุดตัวลงของพื้นผิวถนนหน้าโรงพยาบาลวิชรพยาบาลว่า ตัวของโรงพยาบาลไม่มีผลกระทบอะไรเลย เพราะด้านหน้ามีกำแพงกั้นดินที่ลึกถึง 60 เมตร และตัวอาคารทีปังกรฯ มีกำแพงอยู่ แต่เพื่อความไม่ประมาทและการจราจรก็มีปัญหาจึงได้หยุดให้บริการตึกผู้ป่วยนอกเป็นเวลา 2 วัน และตึกดังกล่าวไม่ได้มีการอพยพผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยทั้งหมดในตึกนั้นเป็นผู้ป่วยนอกจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอพยพ ทั้งนี้ หากมีเหตุจำเป็นและเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินทางโรงพยาบาลยังเปิดให้บริการอยู่ ตอนนี้เราเป็นห่วงในเรื่องของการจราจรส่วนอาคารนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร ในส่วนของการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยก็ยังสามารถใช้ประตูอื่นบริเวณโดยรอบโรงพยาบาลได้ ส่วนที่เรากังวลคือการเดินทางมาทำงานของเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาล. -สำนักข่าวไทย