รัฐสภา 20 ก.พ.-ส.ว.ยันไม่มีอคติ ไม่มีธงคว่ำญัตติรายงานทำประชามติยกร่าง รธน.ใหม่ พ่วงเลือกตั้ง ระบุถ้ามีธงคงตีตกตั้งแต่วาะระแรก ไม่พิจารณาให้เสียเวลา ชี้การต้องแยกคูหา – ทำ 3 ครั้ง ใช้งบกว่าหมื่นล้าน
นายสมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาญัตติการพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบผลการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในญัตติขอให้สภามีมติส่งเรื่องที่มีเหตุสมควรจะให้ออกเสียงประชามติให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ พร้อมรายงานของคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาญัตติขอให้สภามีมติส่งเรื่องที่มีเหตุสมควรจะให้ออกเสียงประชามติให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ กล่าวถึงรายงานดังกล่าวที่วุฒิสภาจะพิจารณาวันพรุ่งนี้ (21ก.พ.) ว่า เป็นเรื่องที่ศึกษาอย่างรอบด้านโดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งผู้เสนอญัตติมาให้ข้อมูลอย่างรอบด้านและละเอียด ตรงไปตรงมา
“ทำโดยมีหลักวิชาการอ้างอิง ไม่มีอคติ รวมทั้งนำข้อมูลและที่มาของรัฐธรรมนูญมี 2540 ปี 2550 และปี 2560 มาศึกษาชัดเจนว่ากว่าจะมีสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.เมื่อปี 2540 ต้องใช้เวลาศึกษาถึง 2 ปี และ ส.ส.ร.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่มาจากการเลือกกันเอง ดังนั้น หากจะมีร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในรายงานไม่ได้ขัดข้อง แต่ที่เสนอมา บอกทำประชามติให้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดย ส.ส.ร. แต่ไม่มีกรอบที่มาของ ส.ส.ร. จึงยังอ่อนและไม่ชัดเจน ซึ่งหากจะทำจริงต้องทำความเข้าใจ และอธิบายให้ประชาชนเข้าใจก่อนลงประชามติว่า จะมี ส.ส.ร. และกรอบการดำเนินการอย่างไร” นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขได้โดยรัฐสภา แต่หากยกร่างใหม่ เท่ากับเป็นการยกเลิกมาตราที่บัญญัติไว้ว่าประเทศไทยเป็นรัฐเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ และหากจะแก้โดยถามประชามติ ต้องทำประชามติถึง 3 ครั้ง ซึ่งไม่ได้ประหยัดงบประมาณ อย่างที่หลายคนพูดไว้ เพราะ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.ประชามติไม่ตรงกัน แม้กำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเดียวกับวันทำประชามติ ต้องแยกหน่วยเลือกตั้งให้ชัดเจน เป็น 2 เต็นท์ เจ้าหน้าที่ต้องใช้ 2 ชุดแยกกัน จำนวนหน่วยเลือกตั้ง 95,000 หน่วย ก็ต้องเพิ่มเท่าตัว ถ้าในการเลือกตั้งใช้งบ 4,500 ล้านบาท ต้องเสียงบทำประชามติ 3,500 ล้านบาท และต้องทำ 3 ครั้ง ใช้งบประมาณ 11,000-12,000 ล้านบาท โดยจะต้องถามครั้งแรกว่า จะให้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ครั้งที่2 ต้องแก้มาตรา 256 รูปแบบ ส.ส.ร. จะเป็นอย่างไร และเมื่อยกร่างเสร็จแล้ว ก็ต้องถามประชาชนอีกครั้งว่าเห็นชอบหรือไม่
“รายงานของกรรมาธิการ ไม่ได้ปิดประตู ไม่ได้ห้ามให้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยการพิจารณาวันพรุ่งนี้ (21 ก.พ.) อยู่ที่ ส.ว. แต่ละคนจะตัดสินใจ ซึ่งเมื่อสอบถาม ส.ว. เบื้องต้นพบมีความเห็น 2 แนวทาง ส่วนหนึ่งอยากให้ส่งให้ ครม.พิจารณา แต่บางส่วนไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม หาก ส.ว.มีมติส่งให้ ครม. ก็ขึ้นอยู่ที่ ครม.ว่าจะตัดสินใจดำเนินการอย่างไร จะทำหรือไม่ก็ได้เพราะเป็นเพียงรายงานของคณะกรรมาธิการ” นายสมชาย กล่าว
ส่วนที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ผู้เสนอญัตติมองว่า ส.ว. ตั้งธงล่วงหน้านั้น นายสมชาย ยืนยันไม่ได้ตั้งธงตีตก เพราะถ้ามีธงจริงก็ตีตกตั้งแต่วาระแรกแล้ว ไม่เสียเวลามาพิจารณา แต่ตั้งใจว่าต้องการให้บันทึกทั้งงานวิชาการ และกฎหมาย ต้องอ่านให้ดี ไม่มีอคติ.-สำนักข่าวไทย