เพชรบูรณ์ 24 พ.ย.-นายกฯ KICK OFF ยกระดับชาวนาเพชรบูรณ์ ย้ำทำเกษตรต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย บอกคนไทยต้องรักกัน ภูมิใจในผืนแผ่นดิน ย้ำไม่เป็นศัตรูกับใคร อ้อน “เห็นใจกันบ้างไหมจ๊ะ”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี KICK OFF มาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/2566 โดยนายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอบคุณทุกคน วันนี้ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่น ขอบคุณบรรดาผู้นำหลายกลุ่มด้วยกันที่มาในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร ประชาชนชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ตนมาเพชรบูรณ์หลายครั้ง ไม่เคยผิดหวัง ทุกคนมีความรักความสามัคคีกันดีมาก ๆ ขอบคุณทุกท่านด้วยใจจริง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่ได้มาพบเกษตรกรผู้ปลูกข้าวชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ และได้ไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์มาแล้วด้วยความสบายใจ และขอพรให้ประเทศชาติ ประชาชนทั้งชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นคติพจน์ในใจของตนตลอดมา วันนี้มาในนามของนายกฯ หัวหน้ารัฐบาลและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผมมาในนามรัฐบาลและทุกโครงการตนเป็นคนนำเข้าครม. และพิจารณาร่วมมือกันในการอนุมัติ และพรรคร่วมรัฐบาลทุกคนก็เป็นรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบด้วยในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทั้งหมด สิ่งที่ต้องการคือความเข้าใจระหว่างกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่ได้มาพบปะเกษตรกรและยินดีที่ได้มามอบเงินให้เกษตรกรชาวนาในโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/2566 ตลอดจนมาตรการคู่ขนาน เพื่อจะเป็นกำลังใจให้เกษตรกร ในการรักษาเสถียรภาพในเรื่องราคาข้าว เพื่อมีรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน และจะไม่ขอพูดตามที่ได้มีการเตรียมคำกล่าวเอาไว้ให้ แต่จะพูดในสิ่งที่คิดและทำ รวมถึงสิ่งที่พยายามเดินหน้ามา ทุกคนทราบดีว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากมาย โดยเฉพาะการเกษตร เราเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก แต่ต้องพัฒนาปรับปรุง ซึ่งจะต้องบริหารจัดการให้ไทยเป็นผู้นำการผลิต และการตลาดข้าวและรวมถึงผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะทำอะไรก็ตามจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย แม้กระทั่งการประกอบการของบริษัทและห้างร้าน จะต้องคำนึงถึงผู้บริโภค ตลาดและสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้สร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศ เพราะปีนี้สังเกตดูแล้วจะเห็นว่าอะไรเปลี่ยนไปโดยเฉพาะสภาพอากาศหน้านี้เป็นฤดูหนาว แต่ฝนก็ตกบ่อย มีร่องความกดอากาศมรสุมต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และต่างประเทศก็ได้รับผลจากภัยพิบัติมากขึ้น ทั้งดินถล่ม แผ่นดินไหว และสึนามิ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในหลายกับประเทศ แม้กระทั่งในอาเซียน เมื่อย้อนกลับมาดูที่ประเทศไทยเราบ้านเราจะไม่เจอแบบนั้น บ้านเราจะไม่เจอแบบนั้น เพราะเป็นพื้นที่การเกษตร เราไม่มีภูเขาไฟ เราเป็นแผ่นดินแห่งความร่มเย็น และสงบสุขเหมาะกับการเกษตร แต่จะทำการเกษตรอย่างไรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
“ปัจจุบันจะต้องคิดให้ไกลกว่าเดิม ซึ่งปัญหาการเกษตรวันนี้อยู่ที่ราคาเป็นหลัก จึงต้องย้อนกลับมาดูว่าจะทำอย่างไร ให้มีการใช้ต้นทุนน้อยที่สุด แต่ถ้าใช้กลไกเดิมเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้ทั้งปุ๋ย ยาและสารเคมี ค่าจ้างไถห ว่านทุกอย่างเป็นต้นทุนทั้งสิ้น พอขายทำให้ได้ราคาไม่มาก จึงต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้ตนได้พูดคุยในที่ประชุมเอเปค สิ่งแรกที่อยากจะบอกคือจงภูมิใจในผืนแผ่นดินไทยให้มากที่สุด เป็นดินแดนแห่งความสุขสงบและสันติใต้ร่มพระบารมี พระบรมมาโพธิสมภาร และอยู่ในร่มเงาของศาสนาทุกศาสนาที่อยู่ร่วมกันได้ คนไทยแตกแยกกันไม่ได้ ถ้าแตกแยกกันเมื่อไหร่ ศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันที่มีอยู่จะหมดไปทันที ฉะนั้น สิ่งสำคัญต้องเริ่มจากตัวเราไปสู่ชุมชนและสังคม และไปถึงระดับประเทศ ต้องรักกัน นั่นคือประเด็นที่สำคัญที่สุด” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ว่าจะตนหรือใครก็ตาม ต้องทำให้สิ่งเหล่านี้เข้มแข็งขึ้น เติบโตขึ้น รวมพลังให้มากยิ่งขึ้น เดินหน้าประเทศต่อไปเรา ทำแบบเดิมทั้งหมดไม่ได้อยู่แล้ว ก็คาดหวังว่าที่ทำให้ได้ในวันนี้นั้นจะเป็นพื้นฐาน และเป็นแนวทาง มีอะไรที่ดีกว่านี้ไปเรื่อยๆ วันนี้พูดเฉพาะข้าว แต่ต้องไปดูแลพืชถึง 6 ชนิด ซึ่งใช้งบประมาณมากขึ้นทุกปี วันนี้โชคดีที่ยังอยู่ในกรอบและราคาข้าวสูงขึ้น นอกจากเกษตรกรแล้วยังมีธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องดูแล ตนเข้าใจในความลำบาก ประชาชนลำบาก ตนก็ยิ่งลำบากกว่า แต่อาจจะไม่ลำบาก เหนื่อยกาย เหนื่อยใจเท่า แต่เหนื่อยตรงที่จะแก้ปัญหาให้อย่างไร
“นั่นคือหัวใจของคนที่เป็นรัฐบาล จะต้องนึกถึงประชาชนให้ได้มากที่สุดและหาวิธีการที่จะทำให้ได้ แต่จะได้มากได้น้อยต้องเข้าใจกัน อยากให้ทุกคนยิ้มแบบนี้ทั้งประเทศ จะทุกข์จะสุขก็ยิ้มให้กัน ยิ้มแย้มแจ่มใสความทุกข์เก็บไว้แล้วค่อยๆแก้ ค่อยๆระบาย แต่ถ้าระบายออกด้วยความเกลียดชังซึ่งกันและกัน มันไม่มีอะไรจะดีขึ้น นอกจากปลูกฝังความเกลียดชังไปเรื่อยๆ และเราก็ทรมาน ยืนยันว่าผมไม่ใช่ศัตรูกับใครทั้งสิ้น ทั้งนี้ ทุกอย่างที่พูดไปเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของผมตั้งแต่มาเป็นนายกฯตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้และคงอยู่ไปอีกนาน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ระหว่างนั้นชาวบ้านปรบมือและส่งเสียง ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่าไปตีความผิดว่าตนจะอยู่อีกนาน เดี๋ยวเป็นเรื่องอีก ทำงานจนลืมวัน เดือน ปี นาฬิกาไม่เคยดู วันข้างหน้าต้องไปคิดต่อว่าจะทำอย่างไร ถ้าเราแตกแยกกันไปเรื่อย ๆ มากขึ้น แล้วจะได้ข้อยุติอะไร จึงต้องไปแก้ปัญหาที่ความยากจน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ และเงินทั้งหมดไม่ใช่เงินของตนหรือธนาคาร แต่เป็นเงินของประชาชน รัฐบาลต้องมารับผิดชอบเงินงบประมาณก้อนนี้ เพราะต้องใช้หนี้ธนาคาร
“วันนี้ที่มามาเพื่อให้เห็นหน้าเห็นตาและทำสัญญาใจว่าเราจะช่วยกันทำให้ประเทศเติบโตและปลอดภัย เป็นประเทศที่มีสุขภาพจิตที่ดี ต้องใช้เวลาไม่ใช่ 1 ปี หรือ 2 ปี ที่ผมอยู่มาวันนี้ หลายปีก็ทำอะไรได้เยอะพอสมควร นี่ไม่ได้พูดว่าอยากหรือไม่อยากอยู่อะไรทั้งสิ้น ไม่เกี่ยว เดี๋ยวจะตีความกันผิดอีก สุขก็ยิ้ม ทุกข์ก็ยิ้มและที่ผมยิ้ม อยู่ในใจก็ร้อนอยู่ ขอให้รวมพลังกันให้ได้ ถ้าทุกคนประท้วงกันไปมาก็ไม่ได้อะไร เพราะมีหลายคนบอกว่าถ้าประท้วงก็อาจจะได้ แต่ถ้าผิดกฎหมายก็มีปัญหา ซึ่งผมอยากให้ทั้งหมด แต่ผิดทุกอัน ผิดกฎหมาย โกรธเคืองกันไม่ได้อะไรขึ้นมา แบ่งพวก แบ่งฝ่ายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แบ่งสีแบ่งสันพอได้แล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ถามประชาชนว่า ที่ตนได้พูดไป เข้าใจบ้างหรือไม่ และว่า “เห็นใจกันบ้างไหมจ๊ะ” จากนั้นนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต่างคนก็ต่างเห็นใจกัน วันนี้โลกกำลังเจริญเติบโต ไปถึงเรื่องดิจิตอล แต่ก่อนเราไม่มีโทรศัพท์ใช้ วันนี้มีขอให้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็แล้วกัน อย่าไปใช้สร้างความเกลียดชัง อย่าไปใช้เพราะถูกเขาหลอก ถ้าเบอร์โทรศัพท์ไหนโทรเข้ามาไม่ขึ้นทะเบียน อย่าไปรับ ตนเองถ้าไม่มีชื่อก็ไม่รับ เพราะไม่รู้ว่าใครโทรมา การทุจริตเกิดขึ้นง่ายข้อมูลหลุดไปก็เดือดร้อน ประเภทชักชวนทางออนไลน์ไม่จำเป็นอย่าไปเปิด ซึ่งเรื่องนี้ก็พยายามปิดอยู่แต่จะทำอย่างไรเพราะต้องใช้คำสั่งศาล และเจ้าหน้าที่ก็ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่บ่น
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายสอบถามสารทุกข์สุขดิบประชาชนที่มาร่วมกิจกรรม ประชาชนบางคนถึงขั้นเข้ามาสวมกอด และร้องไห้ดีใจที่เจอนายกรัฐมนตรีและได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ขณะที่บางคนจะลงกราบที่เท้า แต่นายกรัฐมนตรีห้ามไว้พร้อมระบุว่า “ไม่ต้องทำแบบนี้” ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ แม้จะมีการรักษาความปลอดภัย ทั้งทีมทหารและตำรวจ แต่ไม่ได้เข้มงวดเหมือนกับการลงพื้นที่ก่อนหน้านี้ ประชาชนสามารถเข้ามาใกล้ชิด สวมกอดนายกรัฐมนตรี ขอถ่ายภาพ และเข้ามาร้องความทุกข์ ความต้องการต่อนายกรัฐมนตรีแบบประชิดตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์วันนี้ มีส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)มารอต้อนรับด้วย คือ นายจักรัตน์ พั้วช่วย น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ ส.ส.เพชรบูรณ์ และนายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เพชรบูรณ์.-สำนักข่าวไทย