กรุงเทพฯ 28 ต.ค. – “ชูศักดิ์” ระบุเพื่อไทยไม่ร้องยุบ พปชร. ปมเงินบริจาค ชี้คนให้มีสัญชาติไทยแล้ว การยุบพรรคควรมีความผิดสถานเดียวคือล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณี นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นายทุนชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับการเปิดผับและบ่อนการพนัน ในเขตยานนาวา มีชื่อบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จำนวน 3 ล้านบาท เมื่อปี 2564 ว่า ขออนุญาตแสดงความเห็นทางกฎหมายเป็นหลัก ตนไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะไปยื่นยุบพรรคนั้นพรรคนี้ ตามข้อเท็จจริงผู้บริจาคเงิน 3 ล้านบาท ให้พรรคพลังประชารัฐ เดิมเป็นคนสัญชาติจีน แต่ได้ขอแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทยและได้สัญชาติตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค.57
“ตามพ.ร.บ.สัญชาติ ม.19 (2) บุคคลจะขอแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทยต้องไม่ใช้สัญชาติเดิม มิเช่นนั้นจะถูกถอนสัญชาติไทย ดังนั้น จึงอาจเข้าใจได้ว่าปัจจุบันผู้บริจาคถือสัญชาติไทยเพียงสัญชาติเดียว ซึ่งวันที่บริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ คือวันที่ 5 พ.ค.64 ถือสัญชาติไทยแล้ว จึงไม่ขัด ม.74 (1) พ.ร.ป.พรรคการเมืองที่ห้ามรับบริจาคเงินจากบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย” นายชูศักดิ์ กล่าว
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า มาตรา 72 พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ ห้ามพรรคการเมืองรับบริจาคเงินโดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการบริจาคเงินถึง 3 ล้านบาท น่าจะต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน กรณีนี้ผู้ตอบคำถามได้ดีที่สุดคือพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหากเข้าข่ายมาตรานี้ก็อาจถือเป็นเหตุยุบพรรคการเมืองได้ตาม ม.92(3)
เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยจะยื่นยุบพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเจ็บปวดกับการใช้การยุบพรรคเป็นเครื่องมือทางการเมือง พรรคถูกยุบมีผลให้สมาชิกพรรคเป็นหมื่นเป็นแสนคนต้องสิ้นสภาพสมาชิกไปด้วย เราจึงเห็นว่าการยุบพรรคควรมีกรณีเดียวเท่านั้น คือการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนกรณีอื่น ๆ ให้เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารพรรค แต่น่าเสียดายที่เราขอแก้กฎหมาย แต่รัฐสภาไม่ผ่านให้ เท่าที่ทราบเห็นมีนักร้องเขาจะไปร้องกันก็ว่ากันไป ให้เป็นเรื่องนายทะเบียนพรรคการเมือง เราคงไม่ไปยุ่งด้วย แม้จะอยู่คนละขั้วกันทางการเมืองก็ตาม.-สำนักข่าวไทย