กรุงเทพฯ 12 ก.ย. – “ศุภจี” เปิดใจตอบรับนั่งเก้าอี้ รมว.พาณิชย์ ในรัฐบาลอนุทิน หวังนำประสบการณ์ช่วยทำประโยชน์แก่ประเทศ และระยะเวลาอยู่ในตำแหน่งไม่นาน ยอมรับเศรษฐกิจไทยเต็มไปด้วยความท้าทาย ย้ำรัฐบาลมีเวลาน้อย ต้องร่วมมือกับทุกกระทรวงเร่งแก้วิกฤติเศรษฐกิจประเทศ
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่ รมว.พาณิชย์ เปิดใจถึงการตอบรับนั่งเก้าอี้ รมว.พาณิชย์ ในรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า ประเด็นแรกเนื่องจากเห็นว่าปัจจุบันประเทศไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งภายใน และภายนอก จึงคิดว่าหากตนเองพอที่จะมีประสบการณ์ที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระ หรือเกิดผลกระทบในแง่บวกได้ ก็อยากจะเข้ามาช่วยทำ เรื่องที่ 2 คือ เป็นเวลาไม่นาน เราทราบดีอยู่แล้วว่ารัฐบาลจะอยู่เพียง 4 เดือน และจะมีการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ซึ่งคงรักษาการต่ออีกเต็มที่ประมาณ 4 เดือน ดังนั้นจึงมีเวลาอยู่ประมาณ 8-9 เดือน จึงคิดว่าระยะเวลาไม่นานเราจึงน่าจะโฟกัสในสิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสุดให้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ จึงตัดสินใจ เพราะไม่ได้คิดว่าจะทำเรื่องนี้ (อยู่ในตำแหน่งการเมือง) นานกว่านั้น
“จริงๆ แล้วกระทรวงพาณิชย์ มีทั้งเรื่องภายในและนอกประเทศ ก็คงจะต้องดูทั้งคู่ ซึ่งต้องรับฟังนโยบายในภาพรวมและยิ่งรัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือน ดังนั้นจึงต่างคนต่างทำไม่ได้ รัฐมนตรีทุกคนจึงต้องร่วมมือกัน และทำในเป้าเดียวกันเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว ดังนั้น ไม่ว่าเรื่องในหรือนอกประเทศก็ต้องฟังนโยบายภาพรวม ซึ่งจะต้องรีบช่วยกันร่างขึ้นมาเพื่อเสนอ หลังจากที่ ครม.ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากนั้นจะแจ้งให้ทุกคนทราบว่า กระทรวงพาณิชย์สามารถที่จะประสานและเสริมนโยบายหลักของคณะรัฐมนตรีได้อย่างไร” ว่าที่ รมว.พาณิชย์ กล่าว
ส่วนเรื่องการเจรจาต่อรองภาษีสหรัฐ และเรื่อง FTA นางศุภจี ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำ ทั้งนี้ก็ต้องดู เพราะว่าการเจรจาเรื่องภาษี เรื่อง FTA ทำด้วยกระทรวงพาณิชย์กระทรวงเดียวไม่ได้ ต้องทำร่วมกันทั้งทีมเศรษฐกิจ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ต้องหารือร่วมกันว่าจะเจรจาเรื่องใด อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้น ต้องรอภาพรวมและต้องทำไปด้วยกัน
ส่วนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ต้องยอมรับว่า ไม่เฉพาะเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจทั่วโลกตอนนี้ก็เจอความท้าทายอย่างมาก มีเรื่องความขัดแย้งระดับภูมิภาค บ้านเราก็มีความขัดแย้งที่ชายแดนก็ต้องดูแล ดังนั้นเศรษฐกิจปีนี้คงไม่ง่าย เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างยิ่ง ดังนั้นก็ต้องพยายาม และย้ำว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องทำร่วมกันกับหลายๆ กระทรวง เพื่อให้เรื่องนี้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น
ส่วนจีดีพีปี 2568 จะเติบโตได้ขนาดไหน ในครึ่งปีแรก ผู้ว่าการ ธปท. บอกว่าปีนี้ จีดีพีน่าจะโตที่กว่า 2% ก็ต้องดูว่าไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จะเป็นอย่างไร คิดว่ายังยากที่จะคาดเดา เนื่องจากมีความผันผวนมากมาย แต่ทั้งนี้คิดว่าตัวเลขไม่น่าจะห่างจากการประมาณการของสถาบันต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่าง 1% กว่าๆ ถึง 2 ทั้งนี้ก็ขึ้นกับว่าเราจะทำอย่างไรในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และจะทำได้มากน้อยแค่ไหน จุดเด่นของประเทศไทยมีมากมาย ไม่ควรมองเฉพาะจุดด้อย เพราะจะทำให้เราหมดกำลังใจ ดังนั้นเราต้องดึงจุดเด่นขึ้นมาใช้ แล้วก็ลองดูว่าจะแก้ไขจุดด้อยข้อใดก่อน แก้ข้อใดหลัง ดังนั้นต้องลำดับความสำคัญ การมุ่งเน้นโฟกัสจะเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ทำได้ทุกเรื่อง ต้องทำบางเรื่อง และต้องดึงเอาจุดแข็งขึ้นมาเพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิ์เร็วที่สุด -517-สำนักข่าวไทย