กรุงเทพฯ 2 ก.ย. – ทส. เผยไทยมีความหลากหลายทางระบบนิเวศสูง แต่ปี 2563 มีแนวโน้มถูกคุกคามเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อชนิดพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ จึงต้องเร่งส่งเสริมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งที่ประชุมได้รายงาน “สถานภาพความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยพ.ศ. 2563” พบว่า มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง แต่มีแนวโน้มการถูกคุกคามเพิ่มขึ้น ต้องเร่งส่งเสริมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เพื่อลดการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์ที่มีความสำคัญทางระบบนิเวศของประเทศและของโลกต่อไป
สำหรับรายงาน “สถานภาพความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย พ.ศ.2563” จัดทำขึ้นโดย สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ซึ่งรายงานต่อที่ประชุมเพิ่มเติมว่า สถานภาพระบบนิเวศของไทยซึ่งมีความหลากหลายทางระบบนิเวศครบทั้ง 7 ระบบคือ ระบบนิเวศป่าไม้ ระบบนิเวศภูเขา ระบบนิเวศแห้งแล้งกึ่งชื้น ระบบนิเวศแหล่งน้ำในแผ่นดิน ระบบนิเวศเกษตร ระบบนิเวศทะเลและชายฝั่ง และระบบนิเวศเกาะ
ทั้งนี้ พื้นที่ระบบนิเวศป่าไม้ มีแนวโน้มค่อนข้างคงที่ ขณะที่ระบบนิเวศชายฝั่งยังคงเผชิญกับการกัดเซาะชายฝั่ง ป่าชายหาดมีจำนวนลดลง ทะเลสาบสงขลาเกิดความเสื่อมโทรม บนเกาะต่างๆ ยังไม่มีการจัดการแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะที่เป็นระบบเท่าที่ควร ส่วนระบบนิเวศภูเขายังขาดองค์ความรู้ในการจัดการ โดยภัยคุกคามสำคัญเกิดจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน การใช้สารเคมีทางการเกษตร การจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพ การแพร่ระบาดของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ภัยพิบัติ น้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สำหรับสถานภาพชนิดพันธุ์พืช พบชนิดพันธุ์ใหม่ (ระหว่างปี พ.ศ. 2557-2563) 239 ชนิด มีพืชถูกคุกคาม 999 ชนิด และพืชสูญพันธุ์อีก 3 ชนิด โดยภัยคุกคามเกิดจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตร การพัฒนาอุตสาหกรรม การคมนาคม การท่องเที่ยว การเก็บเพื่อการค้า การสูญเสียพันธุกรรมจากการผลิตสายพันธุ์เดียวเพื่อการค้าโดยละทิ้งสายพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม การทำลายและรุกล้ำพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพสูง
สถานภาพชนิดพันธุ์สัตว์ พบสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดพันธุ์ใหม่ (ระหว่างปี พ.ศ. 2554-2563) 25 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถูกคุกคาม 122 ชนิด นก 189 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 51 ชนิด สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 19 ชนิด และปลา 290 ชนิด โดยภัยคุกคาม เกิดจากการเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ การบุกรุกพื้นที่ป่า การค้าสัตว์ป่า รวมทั้งการนำเข้าสัตว์ต่างประเทศ การสูญเสียถิ่นอาศัยเนื่องจากการพัฒนาเมืองและการสร้างโครงสร้างต่างๆ การทำประมงเกินศักยภาพ ปัญหามลพิษในแหล่งน้ำ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง พบชนิดพันธุ์ใหม่ (ระหว่างปี พ.ศ. 2559-2563) 96 ชนิด ถูกคุกคาม 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มย่อยปะการัง 107 ชนิด กลุ่มย่อยครัสเตเชียน 14 ชนิด และกลุ่มมอลลัสก้า 183 ชนิด โดยภัยคุกคาม เกิดจากการทำลายถิ่นอาศัย การเก็บเกี่ยวเพื่อการค้า มลพิษต่างๆ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ส่วนสถานภาพจุลินทรีย์ พบชนิดใหม่ (ระหว่างปี พ.ศ. 2561-2563) 98 ชนิด และมีการพบในธรรมชาติในประเทศไทย 7 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ราเส้นสาย ประมาณ 6,000 ชนิด เห็ด 1,863 ชนิด ยีสต์ ประมาณ 250 ชนิด แบคทีเรีย ประมาณ 250 ชนิด สาหร่ายขนาดเล็ก 100 ชนิด ไลเคน 1,292 ชนิด และแอคติโนมัยสีทประมาณ 7 วงศ์ (Family) 19 สกุล (genus) ทั้งนี้ ภัยคุกคามต่อจุลินทรีย์ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น้ำท่วม ไฟป่า มลพิษทางดิน น้ำ และอากาศ ทำให้อัตราการคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพของจุลินทรีย์และไลเคนเพิ่มสูงมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เกิดการสูญเสียชนิดและสายพันธุ์จุลินทรีย์และไลเคนที่มีความหลากหลายในด้านพันธุกรรมได้
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการขยายเวลา แผนแม่บทบูรณาการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. 2558-2564 และแผนปฏิบัติการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. 2560-2564 ออกไปอีก 1 ปี เป็นสิ้นสุดภายในปี 2565 ซึ่งเป็นแผนที่กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางป้องกันภัยคุกคามต่อระบบนิเวศ ตลอดจนอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน. – สำนักข่าวไทย