โคลัมโบ 14 ส.ค.- ทูตไทยเยี่ยม “พลายประตูผา” พบยังตกมัน เป็นเหตุไม่ได้เข้าร่วมขบวนแห่พระธาตุเขี้ยวแก้วประจำปีนี้ โดยจะเร่งหารือเพื่อสนับสนุนการปรับสภาพความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น เดินหน้าประสานความร่วมมือระหว่างประเทศต่อเนื่อง
นายพจน์ หาญพล เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคลัมโบไปเยี่ยม “พลายประตูผา” หรือ Thai Raja ที่วัดสุธุฮุมโปลลา (Suduhumpola) เมืองแคนดี ซึ่งเป็นสถานที่ที่วัดพระธาตุเขี้ยวแก้วนำมาแยกดูแลเชือกเดียวในช่วงที่ตกมัน โดยวัดสุธุฮุมโปลลาอยู่ห่างจากวัดพระธาตุเขียวแก้วประมาณ 2.5 กิโลเมตร
สำหรับสภาพทั่วไปของ “พลายประตูผา” เท่าที่เห็นภายนอก สมบูรณ์ดี มีควาญหลักและควาญสำรองรวม 2 คนดูแล
ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดว่า จะไม่ได้เข้าร่วมขบวนแห่ Esala Perahera 21-31 August 2023 เนื่องจากยังอยู่ระหว่างตกมัน
ควาญผูกตรึง 3 ขาของช้าง โดยขาหลังคล้องโซ่สั้นที่หุ้มด้วยยาง แล้วผูกไว้กับต้นไม้ ส่วนขาหน้าทั้ง 2 ข้างคล้องโซ่ยาว แล้วผูกไว้กับต้นไม้ ซึ่งการผูกค่อนข้างตึงพอควร
เมื่อถามควาญ ได้ความว่า ช้างสามารถล้มตัวลงนอนได้ แต่สาเหตุที่ไม่ผ่อนโซ่ให้ยาวกว่านี้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้ช้างเอี้ยวตัวแล้วแว้งมาทำร้ายได้
ก่อนหน้านี้เอกอัครราชทูตไทยได้แจ้งแก่ไวยาวัจกรของวัดพระธาตุเขี้ยวแก้วแล้วว่า เมื่อช้างหายจากอาการตกมัน หวังว่า จะผ่อนโซ่ให้ช้างมีความเป็นอยู่ประจำวันอย่างธรรมชาติ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยอยู่ รวมถึงเน้นย้ำถึงความสำคัญในการปรับปรุงสภาพพื้นที่ ภูมิทัศน์ และส่วนประกอบอื่นๆ ในบริเวณด้วยเช่น แหล่งน้ำ ถังน้ำให้ดีขึ้นด้วย โดยในอนาคตจะร่วมกันผลักดันให้สภาพความเป็นอยู่และการดูแล “พลายประตูผา” ดียิ่งขึ้นต่อไป
ส่วนความก้าวหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในด้านการดูแลรักษาพยาบาลช้าง รวมถึงการพัฒนาบุคลากรในสาขานี้ในอนาคต กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบเชิญสัตวแพทย์ 2 คน พร้อมทั้งภัณฑารักษ์ (หัวหน้าควาญ) ซึ่งดูแลรักษา “พลายศักดิ์สุรินทร์” โดยตลอดในช่วงที่พักพิงชั่วคราวที่สวนสัตว์เดฮิวาลา (Dehiwala) เดินทางมายังประเทศไทยประมาณต้นเดือนกันยายน
การเดินทางมาสัตวแพทย์และหัวหน้าควาญจะเป็นประโยชน์ต่อ “พลายศักดิ์สุรินทร์” ที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างเต็มรูปแบบในโรงพยาบาลช้าง จังหวัดลำปาง โดยสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้แจ้งว่า ในการรักษา “พลายศักดิ์สุรินทร์” นั้น สัตวแพทย์จะต้องคำนึงถึงลักษณะนิสัยช้าง พฤติกรรม และสุขภาพทั่วไปได้แก่ การกิน การดื่ม การขับถ่าย การนอน และ กิจวัตรประจำวัน ร่วมกับความเจ็บป่วยต่างๆ รวมถึงสุขภาพจิตด้วย ดังนั้นสัตวแพทย์และหัวหน้าควาญของสวนสัตว์เดฮิวาลาซึ่งดูแลช้างมานานกว่า 6 เดือนจะได้ร่วมสังเกตการณ์และให้ความเห็นจากประสบการณ์ตรงในการดูแลรักษาด้วย
นอกจากนี้ยังจะได้พูดคุยเพื่อเตรียมการสำหรับการที่คณะผู้แทนไทยจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเดินทางไปหารือกับกรมการสวนสัตว์แห่งชาติ (National Zoological Department) และมหาวิทยาลัย Peradeniya ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีคณะสัตวแพทยศาสตร์เพียงแพ่งเดียวในศรีลังกาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับศรีลังกาในด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงช้างต่อไป
สำหรับพิธีแห่พระธาตุเขี้ยวแก้ว (Esala Perahera) เป็นประเพณีที่เก่าแก่และสำคัญของศรีลังกา เริ่มครั้งแรกในสมัยพระเจ้าสิริเมฆวรรณแห่งอาณาจักรอนุราธปุระ ประมาณปี พ.ศ. 853 ต่อมาในปี พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) ซึ่งเป็นช่วงที่อังกฤษปกครองศรีลังกา ได้มีการรื้อฟื้นประเพณีการแห่พระธาตุเขี้ยวแก้วเป็นประจำทุกปีจวบจนถึงปัจจุบัน
“พระธาตุเขี้ยวแก้ว” คือ พระทันตธาตุพระทันต์ธาตุเบื้องต่ำขวาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของศรีลังกา ประดิษฐานที่วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว (Sri Dalada Maligawa) เมืองแคนดี (Kandy)
“วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว” เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (สยามวงศ์) สร้างโดยพระเจ้าวิมลธรรมสุริยะที่ 1 พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์สุดท้ายของประเทศศรีลังกา ในปี พ.ศ. 2138 โดยตัววัดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังโบราณ เนื่องจากความเชื่อของชาวสิงหลที่ว่า ผู้ที่รักษาพระเขี้ยวแก้วไว้ย่อมมีสิทธิชอบธรรมในการปกครองอาณาจักร ปัจจุบันวัดพระธาตุเขี้ยวแก้วได้รับขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก
ในพิธีแห่พระธาตุเขี้ยวแก้วจะอัญเชิญพระธาตุเขี้ยวแก้วมาแห่เพื่อขอฝน ในขบวนแห่ประกอบด้วย ขบวนช้าง ขบวนเต้นรำ KANDYDANCE และขบวนกลอง ซึ่งมีการประดับประดาอย่างสวยงามตระการตา โดยขบวนเคลื่อนออกจากวัดพระธาตุเขี้ยวแก้วตอนหัวค่ำ เดินไปตามเส้นทางในตัวเมืองแคนดีเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสสักการะบูชาพระธาตุเขี้ยวแก้วโดยทั่วกัน.-สำนักข่าวไทย