กรุงเทพฯ 20 ก.พ.- ตำรวจเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด หามือวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม ใน อ.ขลุง จ.จันทบุรี เบื้องต้นมุ่งประเด็น ความขัดแย้งภายในและประสงค์ต่อทรัพย์
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณีมีเหตุระเบิดตู้เอทีเอ็ม ของธนาคารแห่งหนึ่งบริเวณหน้าสหกรณ์เครดิตยูเนียนอิมั้ง ในพื้นที่ อ.ขลุง จว.จันทบุรี ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ จากนั้นคนร้ายได้หลบหนีไป ว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเช้ามืดวันนี้(20 ก.พ.)เวลาประมาณ 02.15 น.สภ.ขลุง ได้รับแจ้งเหตุระเบิดตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพ บริเวณหน้าสหกรณ์เครดิตยูเนียนอิมั้ง ถ.ซึ้งพัฒนาสาย 5 หมู่ที่ 8 ต.ซึ้ง อ.ขลุง จ.จันทบุรี พนักงานสอบสวน พร้อม จนท.หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด จนท.พิสูจน์หลักฐาน จว.จันทบุรี ร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกรุงเทพ ถูกระเบิดได้รับความเสียหาย จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบว่าระเบิดที่ใช้ก่อเหตุเป็นระเบิดชนิดแสวงเครื่อง(ระเบิดประดิษฐ์เองโดยใส่พวกเศษเหล็กไว้ภายในแล้วต่อสายชนวนไว้สำหรับจุดระเบิด) ลักษณะการทำงานคล้ายประทัดดอกใหญ่ แต่ไม่สามารถนำตู้เอทีเอ็มไปได้ และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
จากสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้นสันนิษฐานมูลเหตุในคดีนี้คือ ความขัดแย้งปัญหาภายใน และ การประสงค์ต่อทรัพย์สินของคนร้ายที่ก่อเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ได้ตัดประเด็นอื่นทิ้งไป
พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยาน เก็บรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อพิสูจน์ทราบคนร้ายที่ก่อเหตุเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานไปแล้วจำนวนหนึ่ง คงต้องรอผลตรวจของกลางจากเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานสำคัญทั้งหมดในคดีเพื่อเชื่อมโยงไปถึงคนร้ายที่ก่อเหตุและขออนุมัติศาลออกหมายจับ รวมถึงยังคงต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนในการดำเนินการสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงและติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำและกำชับกองบัญชาการในสังกัด ให้มีมาตราการป้องกันอาชญากรรม ไม่ให้มีเหตุเกิดขึ้น มีแผนการปฏิบัติการออกตรวจในพื้นที่สุ่มเสี่ยง การทำประวัติบุคคลเฝ้าระวัง การตั้งจุดตรวจ จุดสกัดกั้น ตรวจสอบอาวุธปืน วัตถุระเบิด ยาเสพติด บุคคลตามหมายจับ อีกทั้งหากเกิดเหตุขึ้นแล้ว จะต้องติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุมาได้โดยเร็ว และดำเนินการสืบสวนสอบสวนในทุกคดี ด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม ตามหลักกฎหมาย อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์หรือพยานหลักฐานที่ชี้ถึงตัวผู้กระทำความผิดเป็นสำคัญ เพื่อเยียวยาความเสียหาย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนและสังคม.-สำนักข่าวไทย
