ศาลสั่งจำคุก 20 ปี “บรรยิน” ฟอกเงินปมโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์

30 เม.ย.- ศาลอาญาสั่งจำคุก 20 ปี “บรรยิน” ฟอกเงิน จากการโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ ยกฟ้องแม่และน้องชาย อดีตโปรกเกอร์สาว ชี้ยังมีเหตุให้สงสัยว่าทราบหรือไม่ว่าเงินที่ได้เกี่ยวกับกับกระทำผิดหรือไม่


วันที่ 30 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ ฟ 48 /2565 ที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ จำเลยที่ 1 น.ส.ศรีธรา หรือ เพ็ญนิชชา พรหมา จำเลยที่ 2 (มารดาของน.ส.อุรชา) และนายประวีร์ วัชรประยงค์ยุติ หรือ นายชัยพรรณ วชิรกุลฑล จำเลยที่ 3 (น้องชายของ น.ส.อุรชา) ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า นายบรรยิน จำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาวคนสนิท จำเลยที่ 2 ในคดีฟ.33/2565 ของศาลนี้ให้การรับสารภาพสมคบกันและร่วมกันปลอมเอกสารจำนำหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง (เสี่ยจืด) นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ได้ลงลายมือชื่อไว้เพื่อจำนำหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) โดยแก้ไขสาระสำคัญจากการจำนำหุ้น เป็นการโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของ น.ส.อุรชา โดยไม่มีค่าตอบแทน เพื่อร่วมกันลักเอาหุ้นนั้นไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต รวม 510,000 หุ้น มูลค่า 35,050,000 บาท และ นายบรรยิน จำเลยที่ 1 ร่วมกับน.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล อดีตสาวพริตตี้ จำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ฟ.33/2565 ของศาลนี้ ซึ่งให้การรับสารภาพ ปลอมเอกสารจำนำหุ้นอันเป็นเอกสารสิทธิที่นายชูวงษ์ แซ่ตั้ง ลงลายมือชื่อไว้ โดยแก้ไขสาระสำคัญจากการจำนำหุ้นเป็นการโอนหุ้นบริษัทพลังบริสุทธิ์ (อีเอ EA ) ของนายชูวงษ์ไปให้กับน.ส.กัญฐณา จำนวน 9,500,000 หุ้น คิดเป็นเงิน 228,000,000 บาท แล้วมีการขายหุ้นแล้ว โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า 2 ชื่อบัญชี น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล รวม 3 ครั้ง เป็นเงิน 28,000,000 บาท


การกระทำของน.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณา ดังกล่าวเป็นความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษาแล้วปรากฎตามคดีอาญา หมายเลขแดง ที่ อ.636/2563, อ.637/2563 และ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ อันเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสารสิทธิ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือ หนังสือเดินทางตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือ เพื่อการค้าตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (14) จำเลยทั้งสามกับพวก ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน โดยแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ถอนเงิน โอนเงิน อันเป้นการโอนหรือรับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อน หรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อเป็นการปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน อำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินโดยรู้ในขณะที่ได้มา หรือครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญา เหตุเกิดที่ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวงเขต เขตบางกอกน้อย กทม.และอื่นๆ

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่ นายบรรยิน จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ636/2563 หมายเลขแดงที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้

โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เบิกตัว นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำ ส่วนจำเลยที่ 2,3 ได้ประกันตัว เดินทางมาฟังคำพิพากษา


ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล และ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง และนำมาสู่การเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ในคดีความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ และในคดีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องที่ศาลอาญาพระโขนง ซึ่งทั้งสองคดี ศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว ซึ่งคดีนี้ โจทก์มีเจ้าหน้าที่ ปปง.พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ธนาคาร เบิกความสรุปได้ว่า หลังจากจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณา ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อโอนหุ้นของนายชูวงษ์และนำมาสู่การเสียชีวิตของนายชูวงษ์ในคดีความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสารแล้วจากการสืบสวนเส้นทางการเงินพบว่ามีการโอนหุ้นเป็น 2 กลุ่ม จำเลยที่ 1 กับ น.ส.อุรชา ร่วมกันปลอมเอกสารแล้วโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 2 และขายหุ้นทั้งหมดภายในระยะเวลา 40 วัน จากนั้นโอนเงินที่ได้ไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทย ของจำเลยที่ 2 รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 33,000,000 บาท แล้วเบิกถอนเงินสดจากบัญชีธนาคารดังกล่าวหลายครั้ง รวมถึงเบิกถอนด้วยเชียร์เช็คแล้วนำไปชำระค่าอสังหาริมทรัพย์โดนไปยังบัญชีบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 ซึ่งเปิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่รับโอน หรือ โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของตนเองที่เปิดขึ้นใหม่ และปรากฏข้อเท็จจริงตามทางการสืบสวนว่า จำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องโดยใช้โทรศัพท์ติดต่อกับน.ส.อุรชา จำเลยที่ 2 บ่อยครั้ง รวมถึงในวันที่มีการทำธุรกรรมแต่ละรายการ จำเลยที่ 1 มีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พื้นที่เดียวกับจำเลยที่ 2 และ น.ส.อุรชา นอกจากนี้จากตรวจเปรียบเทียบสารพันธุกรรมพบว่า จำเลยที่ 1 กับ น.ส.อุรชามีบุตรด้วยกัน และน.ส.อุรชาได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด และน.ส.อุรชายังซื้อรถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ โดยไม่จดแจ้งชื่อผู้ครอบครองมาเป็นชื่อของตน มีเจตนาที่จะปกปิดอำพราง ต่อมารถยนต์คันดังกล่าว ถูก ปปง.มีคำสั่งอายัดไว้ก่อน จากการตรวจสอบก็พบเส้นผมของจำเลยที่ 1 อยู่บนรถยนต์คันดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมใช้ประโยชน์รถยนต์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดมาเปลี่ยนแปลงสภาพ ทั้งนี้จำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กับ น.ส.อุรชามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2558 ก่อนที่จะเกิดเหตุในคดีความผิด จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของจำเลยที่ 2 และ 3 พบว่ามีความเชื่อมโยงกัน กลุ่มที่ 2 น.ส.กัญฐณา รับโอนหุ้นมายังบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่เปิดไว้กับบริษัทอาร์เอสบี จำกัด ซึ่งบัญชีซื้อขายผูกติดกับบัญชีธนาคารกรุงเทพ เงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 98,000,000 บาทเศษ ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารดังกล่าว และมีการซื้อขายหุ้นกันในตลาดหลักทรัพย์ โอนเงิน และเบิกถอนเงินสด ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าผู้ที่เป็นตัวการหลักในการทำธุรกรรมคือจำเลยที่ 1 มีการเดินทางไปธนาคารเพื่อถอนเงินสดด้วยกัน

เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับน.ส.อุรชาและน.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์เป็นการกระทำเพื่อมุ่งให้ได้รับประโยชน์ในมูลค่าของหุ้นนายชูวงษ์ ในส่วนวิธีการโอนหุ้น การขายหุ้น การโอนเงินและเบิกถอนเงินที่ได้จากการขายหุ้นไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามเอกสารไม่ปรากฏว่ามีชื่อจำเลยที่ 1 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่พฤติการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชาและน.ส.กัญฐณา บ่งชี้ว่าเป็นการวางแผนร่วมกันมาตั้งแต่ต้น โดยแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อประโยชน์ร่วมกันของจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชาและน.ส.กัญฐณา ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า ไม่ได้รับประโยชน์จากการทำธุรกรรมหรือการโอนหุ้นของน.ส.อุรชาและน.ส.กัญฐณา จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบว่า ไม่มีการปลอมเอกสารสิทธิและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้น ไม่มีความสัมพันธ์กับน.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณา เป็นการนำสืบโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แม้ว่าคำพิพากษาจะยังไม่ถึงที่สุดโดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่ถือได้ว่าผลของคำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้มีน้ำหนักที่ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชาและ น.ส.กัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิเกี่ยวกับการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟ้งได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับน.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณากระทำความผิดตามฟ้อง

ในส่วนของจำเลยที่ 2 และ 3 นั้นเห็นว่าจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 และ 3 มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชากระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิเพื่อประโยชน์ในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ขายหุ้น รับโอนเงิน ถอนเงิน และซื้อบ้าน ที่ดินอย่างไร ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 รับโอนหุ้น ขายหุ้นของนายชูวงษ์ รับโอนเงินจากการขายหุ้น โอนเงิน ถอนเงิน นำเงินมาซื้อบ้านและที่ดิน และจำเลยที่ 3 รับโอนเงินจากจำเลยที่ 2 และถอนเงินโดยการจัดการของ น.ส.อุรชา ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของน.ส.อุรชา และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 และน้องชายของ น.ส.อุรชา ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ยอมรับว่า รับดำเนินการเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ตามคำสั่งของ น.ส.อุรชา และโดยการจัดการของ น.ส.อุรชา ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 และ 3 รู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าว เป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐาน หรือ จากกการสนับสนุนหรือช่วยเหลือการกระทำที่เป็นความผิดมูลฐาน อันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามฟ้อง กรณีจึงยังมีเหตุอันควรเชื่อว่า จำเลยที่ 2 และ 3 อาจรับดำเนินการให้ น.ส.อุรชา โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 2 และ 3 รู้ว่าหุ้นและเงินที่ได้จากการขายหุ้น เงินที่รับโอนและโอนไปยังบัญชีธนาคารอื่น เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2 และ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

พิพากษาว่า นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1)(2)(3) ,60 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามป.อาญา มาตรา 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 2 ปี รวม 27 กระทง เป็นจำคุก 54 ปี เมื่อรวมโทษจำคุกแล้ว ให้จำคุกนายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี และให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.636/2563 หมายเลขแดงที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ จำเลยที่ 3 -419.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตร.เร่งขยายผลปมอธิการบดี ม.ดัง ถูกหลอกลงทุนเทรดหุ้น

สน.บางซื่อ 12 ก.ย. – อธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดัง กลายเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์ ถูกหลอกลงทุนเทรดหุ้น สูญเงินกว่า 38 ล้านบาท ตำรวจนครบาลเร่งสอบสวน อายัดเงินทันกว่า 3 ล้านบาท ขยายผลโยงบัญชีม้ากว่า 20 บัญชี จากกรณีอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ถูกเครือข่ายมิจฉาชีพหลอกลงทุน เสียหายกว่า 38 ล้านบาท พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมาร่วมสอบปากคำผู้เสียหายด้วยตัวเอง ที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ช่วงเที่ยงที่ผ่านมา พล.ต.ต.พัลลภ เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าว พนักงานธนาคารได้ตรวจพบความผิดปกติการถอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย แล้วโอนเงินไปยังบัญชีอื่น 3 บัญชี ซึ่งเป็นบัญชีนิติบุคคล หรือบริษัท เป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้าน 9 แสนบาท จึงได้อายัดไว้ก่อนและติดต่อจากศูนย์ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบไปยังผู้เสียหาย ก่อนทราบว่าผู้เสียหายได้เอาเงินไปลงทุนเทรดหุ้น พร้อมให้ผู้เสียหายตรวจสอบว่า เงินที่โอนไปลงทุนนั้นสามารถถอนออกจากบัญชีในระบบบริษัทได้หรือไม่ ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินได้ เจ้าหน้าที่จึงแน่ใจว่าถูกเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง […]

“เฉลิมชัย” ไขก๊อกหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว

พรรคประชาธิปัตย์ 12 ก.ย.-“เฉลิมชัย” ไขก๊อกจากหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว ด้าน “ชัยชนะ” ยันไม่มีขัดแย้ง ในพรรครักกันดี ไม่มีแพแตก นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ยื่นหนังสือลาออกจากหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ว่า ตนก็เพิ่งทราบข่าว โดยไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้ามาก่อน แต่ยืนยันว่าในพรรคไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งอะไร รักกันดี ทุกคนแต่การตัดสินใจลาออกครั้งนี้เป็นอย่างไรต้องไปถามนายเฉลิมชัยเอง แต่ยืนยันว่า หัวหน้าพรรคกรรมการบริหารพรรค ทุกคนมีความรักใคร่กันดี และตนเชื่อว่านายเฉลิมชัยก็เป็นคนหนึ่งที่รักพรรคประชาธิปัตย์ และทำงานให้กับพรรคมาโดยตลอด ซึ่งตนก็รู้สึกเสียดายและใจหายซึ่งที่ผ่านมานายเฉลิมชัย ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณหรือบอกอะไร สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะดำเนินการอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า ก็ต้องดำเนินการตามข้อบังคับพรรคและตามกฎหมาย โดยต้องเรียกประชุมวิสามัญ เพื่อนเลือก หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคใหม่เมื่อถามว่าบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องทำหน้าที่กันต่อไป ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็มาเลือกคัดสรรกันใหม่ และหลังจากนี้ต้องรอดูว่าใครจะเข้ามาบริหารพรรค และกำหนดนโยบายทิศทางพรรคอย่างไร แต่ตนก็เป็นสมาชิกพรรคคนหนึ่งที่ยังยืนหยัด อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่าการที่นายเฉลิมชัย ลาออกตอนนี้ เป็นสัญญาณอะไรหรือไม่เนื่องจาก มีไทม์ไลน์ จะยุบสภา ภายใน สี่ เดือน จะไปสังกัดพรรคอื่นหรือไม่ ได้ชัยชนะกล่าวว่าอย่ามองเช่นนั้น เพราะตนเชื่อว่านายเฉลิมชัย […]

“รมต.สุชาติ​” ตั้งสอบ​เจ้าอาวาสวัดโสธรฯ​ ปม​ทรัพย์สิน-​สีกา

ทำเนียบ 12 ก.ย.- “รมต.สุชาติ​” ตั้งคณะกรรมการสอบ​เจ้าอาวาสวัดโสธรฯ​ ปม​ทรัพย์สิน​-​สีกา​ หลังถูกร้องสะพัดว่อนโซเชียล​ คาด​ไม่เกิน​ 1 สัปดาห์รู้ผล​ ย้ำให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย นายสุชาติ​ ตันเจริญ​ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเปิดเผยว่า​ มีข้อร้องเรียน ถึงพฤติกรรมของเจ้าอาวาส วัดโสธรวรารามวรวิหาร เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้อง เข้าข่ายกระทำความผิดพระธรรมวินัย อีกทั้งยังมีข้อมูลเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยการร้องเรียนเป็นเรื่องทรัพย์สินและเรื่องสีกา ซึ่งเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ เป็นเจ้าคณะจังหวัด และเป็นพระสังฆาธิการด้วย ดังนั้นจึงต้องให้ความเป็นธรรม ทั้งกับผู้ร้องและประชาชน รวมถึงตัวเจ้าอาวาสด้วย เพราะหากไม่เป็นความจริงจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ตนจึงได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นประธาน​ ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏ​ โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูง​ รวมถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ​ และให้ผู้ตรวจของสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าไปเป็นคณะกรรมการด้วย เพราะไม่ทราบว่าในโลกออนไลน์พูดเพื่อความสนุกสนานหรือไม่ แต่ยอมรับว่าตนก็ได้ยินเรื่องนี้มานาน มีเค้าโครง​ ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และให้ผู้ร้องสบายใจ​ แต่หากเจ้าอาวาสทำผิดก็ต้องแบบว่าไปตามระเบียบกฎหมาย และต้องแจ้งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาดำเนินการต่อไป เมื่อถามว่าวางกรอบระยะเวลาการตรวจสอบไว้เท่าใด นายสุชาติ​ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้วาง แต่คาดว่าไม่น่าจะเกิน 1 สัปดาห์ เพราะจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นพื้นที่ของตน ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ และตนก็เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ประชาชนเลือกมาเป็นผู้แทน […]

นายกฯ โต้ข่าวเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เชื่อปชช.เข้าใจ

เมืองทองธานี 12 ก.ย.- นายกฯ โต้ข่าว เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา บอก ขอเป็นรัฐบาลอย่างเป็นทางการก่อน ชี้ ขั้นตอนยังมีอีกเยอะ เชื่อประชาชนเข้าใจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสความชัดเจนในการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ทำไมข่าวออกไปอย่างนั้นก็ไม่รู้ ไปบิดเบือน เท่าที่ตนดู พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ก็ยังไม่ได้พูดอะไรชัดเจนขนาดนั้น ต้องคำนึงถึงประชาชนคนไทยเป็นหลักก่อนอยู่แล้ว เมื่อถามถึง กระแสการต่อต้านการเปิดด่าน นายกรัฐมนตรีระบุ ขอให้ตนเข้าไปรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการก่อน ตอนนี้เรายังไม่สามารถให้นโยบายอะไรได้ และการกระทำต่างๆ ยังถือว่าอยู่ภายใต้รัฐบาลปัจจุบันอยู่ ยังไม่ใช่รัฐบาลของตน เมื่อถามต่อว่า ท่าทีของ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 และ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ที่คัดค้านการเปิดด่าน เพราะอาจจะเป็นการส่งเสริมบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ นายอนุทิน กล่าวว่า เท่าที่ตนทราบไม่ได้อยู่ดี ๆ จะไปเปิดด่านได้เลย เพราะต้องมีการบรรลุข้อตกลงอะไรอีกเยอะแยะ เมื่อปฏิบัติ ซึ่งต้องรอคณะรัฐบาลของตนเข้าปฏิบัติที่อย่างเป็นทางการก่อน ตอนนี้ตนยังไม่สามารถไปสั่งการหรือให้นโยบายอะไรได้ เมื่อถามว่า […]

ข่าวแนะนำ

ดีอีเร่งปลดล็อกระงับบัญชีที่ไม่เกี่ยวกับบัญชีม้า

กรุงเทพฯ 14 ก.ย. – ดีอีเร่งปลดล็อกระงับบัญชีธนาคารชั่วคราวให้ประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า แจงระงับจำนวนเงินเฉพาะที่โอนออกไปจากบัญชีต้องสงสัยเท่านั้น ไม่ได้ระงับทั้งบัญชี ยังคงทำธุรกรรมได้ปกติ ส่วนบัญชีม้าจะไม่ปลดล็อกเด็ดขาด พร้อมแจงการอายัดบัญชีทำได้เฉพาะกรณีที่มีหมายจากตำรวจเท่านั้น ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมการดำเนินมาตรการเพิกถอนการระงับบัญชีธนาคารชั่วคราวในบัญชีที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าของมิจฉาชีพ ซึ่งเป็นผลมาจากการบังคับใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ เปิดเผยว่า ตามที่มีกรณีประชาชนได้รับผลกระทบจากการระงับบัญชีธนาคารชั่วคราว ซึ่งเป็นมาตรการในการตรวจสอบและปิดกั้นบัญชีม้าของมิจฉาชีพ เพื่อติดตามเส้นทางการเงิน และนำเงินจากการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของมิจฉาชีพกลับคืนมาให้กับผู้เสียหาย เป็นกลไกตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ตามมาตรา 6 และมาตรา 7 ซึ่งธนาคารมีหน้าที่ในการระงับการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นการชั่วคราว โดยจะมีการระงับจำนวนเงินเฉพาะที่โอนออกไปจากบัญชีต้องสงสัยเท่านั้น ไม่ได้ระงับทั้งบัญชีแต่อย่างใด ซึ่งบัญชีธนาคารนั้นยังคงสามารถทำธุรกรรมได้อยู่ตามปกติ ในส่วนของการอายัดบัญชีเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการอายัดบัญชี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยมีหมายอายัดเท่านั้น ทั้งนี้ […]

จนท.ห้ามล่าสัตว์ป่า หายตัวปริศนา 3 วัน หลังไปขายลอตเตอรี่

อุทัยธานี 14 ก.ย.- แม่เศร้าลูกชาย ซึ่งเป็น จนท.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าห้วยทับเสลา หายตัวปริศนา 3 วัน หลังออกเวรไปเร่ขายลอตเตอรี่ แต่จนถึงขณะนี้ ยังติดต่อไม่ได้ นางจำรัส อายุ 57 ปี ชาวบ้านบึงเจริญ หมู่ 9 ตำบลระบำ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี นำเบาะแส เป็นภาพจากกล้องวงจรปิด มอบให้สื่อมวลชน ช่วยเป็นกระบอกเสียง ในการตามหาลูกชาย คือนายเอกฉัตร อายุ 39 ปี ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ห้ามล่าสัตว์ป่าห้วยทับเสลา ต.ระบำ อำเภอลานสัก จ.อุทัยธานี หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนาน 3 วัน โดยภาพวงจรปิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน นายเอกฉัตรนำแผงลอตเตอรี่มาขาย ที่ร้านของชำของแม่ ก่อนจะขี่รถจักรยานยนต์ สีแดงออกไป กระทั่งล่าสุด วันที่ 11 กันยายน กล้องอีกจุดจับภาพนายเอกฉัตร ขี่รถจักรยานยนต์ สีเขียว ทะเบียน 1ขอ […]

ทลายแก๊งเงินกู้ดอกเบี้ยโหด ร้อยละ 600 ต่อปี

14 ก.ย.- ตำรวจสอบสวนกลาง ทลายแก๊งเงินกู้ดอกเบี้ยโหด ร้อยละ 600 ต่อปี พบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 30 ล้านบาท ตำรวจสอบสวนกลาง บุกจับนายณัฐพงษ์ อายุ 36 ปี นายวิเนตร อายุ 28 ปี และนายธีรวุฒิ อายุ 34 ปี ที่อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ข้อหาร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต และเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด พร้อมของกลางหลายรายการ หลังมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแสเครือข่ายเงินกู้นอกระบบเก็บดอกเบี้ยถึงร้อยละ 626.25 ต่อปี กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน และไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนถูกกฎหมายได้ ผู้กู้ไม่ต้องใช้หลักฐานยืนยันตัวตนไม่ต้องใช้คนค้ำประกัน โอนเงินให้ผู้กู้ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ไปบัญชีธนาคารของผู้กู้ โดยหักยอดเงินกู้เป็นดอกเบี้ยงวดแรก และงวดสุดท้ายไว้ก่อน หากผิดนัดชำระหนี้ ก็จะไประรานลูกหนี้อย่างไม่เกรงกลัวกฏหมาย. -สำนักข่าวไทย

ปชช.ตื่นตัวใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อม สส.เชียงราย กกต.คาดรู้ผลก่อน 3 ทุ่ม

เชียงราย 14 ก.ย.- กกต. คาดผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อม สส.เชียงราย 65% เหตุอากาศเป็นใจ พบประชาชนตื่นตัวมารอใช้สิทธิแต่เช้า รู้ผลก่อน 3 ทุ่มคืนนี้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 7 จังหวัดเชียงราย ว่า ภาพรวมเป็นไปด้วยความคึกคัก มีประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมารอใช้สิทธิทั้ง 2 หน่วยภายในโรงเรียนบ้านสบคา ซึ่งวันนี้สภาพอากาศเป็นใจท้องฟ้าปลอดโปร่ง หากเป็นไปเช่นนี้จะมีส่วนทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากยิ่งขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ดีที่อากาศเอื้ออำนวยในการออกเสียงเลือกตั้งวันนี้ ซึ่งมีตั้งเป้าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 65 แม้จะเป็นงานยาก เพราะมีเงื่อนไขในเรื่องของกำหนดเวลายุบสภา แต่ด้วยความร่วมมือของทั้งพรรคการเมืองและผู้สมัคร และทางจังหวัดเชียงราย กกต.จังหวัดเชียงราย คาดว่าตัวเลขผู้ออกมาใช้สิทธิจะใกล้เคียงเป้าที่ได้ตั้งเป้าไว้ สำหรับรายงานผล เมื่อปิดหน่วยในเวลา 17.00 น. กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งจะมีการตรวจบัตรและนับคะแนน คาดว่าจะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการในเวลาประมาณ 20.00 – 21.00 น. ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยระบุว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของชาวจังหวัดเชียงราย และเลขา กกต.ได้มาตรวจเยี่ยมการเลือกตั้งซ่อม สส.เขตเลือกตั้งที่ 7 พร้อมเชิญชวนประชาชนชาวจังหวัดเชียงราย ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะเป็นหน้าที่ เลือกคนดีเข้าสภาเป็นหน้าที่ของชาวจังหวัดเชียงราย […]