ศาลแพ่งสั่ง “ส.ต.ต.” ซิ่งบิ๊กไบค์ชนหมอกระต่าย ชดใช้ 27.3 ล้านบาท

กทม. 26 มี.ค. – ศาลเเพ่งสั่ง “ส.ต.ต.” ขับบิ๊กไบค์ ชนหมอกระต่ายเสียชีวิต ชดใช้ค่าเสียหายให้พ่อเเม่จำนวน 27.3 ล้านบาท ยกฟ้องสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 67 ศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ 846/2565 ระหว่าง นายแพทย์อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล ที่ 1 นางรัชนี สุภวัตรจริยากุล ที่ 2 โจทก์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 1 สิบตำรวจตรีนรวิชญ์ บัวดก ที่ 2 จำเลย โดยศาลพิพากษาให้ จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 331,230 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง ชำระเงิน 13,500,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และชำระเงิน 13,500,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตรา เพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามที่โจทก์ทั้งสองขอ ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรม เนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ยกฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก


เกี่ยวกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ที่ พ 846/2565 ดังกล่าวนั้น โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดี ละเมิด ใจความโดยสรุปว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของแพทย์หญิง วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 จำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการตำรวจสังกัดจำเลยที่ 1 ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขา และควบคุมฝูงชน (กก.1บก.อคฝ) เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 15.00-16.00 น. จำเลยที่ 2 ขณะปฏิบัติหน้าที่รับเอกสารราชการไปส่งให้แก่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานในสังกัดจำเลยที่ 1 ได้ขับรถจักรยานยนต์ออกจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลด้วยความเร็วประมาณ 108-128 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แซงขึ้นหน้ารถคันอื่น ในระยะไม่ถึง 30 เมตร ก่อนถึงทางม้าลายโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงพุ่งชนผู้ตาย ขณะเดินข้ามทางม้าลายบริเวณหน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ให้การช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังเกิดเหตุประมาณ 30-60 นาที และจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมดูแล กำกับการปฏิบัติงาน และธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 2 ใช้รถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมายในการปฏิบัติงาน ขับรถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนต่อ กฎหมาย และไม่จัดให้จำเลยที่ 2 เข้ารับการฝึกอบรมขับรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้า พนักงานจราจร ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนท้องถนน ละเลยไม่จัดทำมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อป้องกัน อุบัติเหตุตรงทางม้าลาย อันเป็นผลโดยตรงทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนั้น จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็น ในการจัดการศพเป็นเงินจำนวน 539,493 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 537,505 บาท และค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงินจำนวน 72,266,301 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 72,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง

โดยศาลพิเคราะห์ พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง กำหนดให้จำเลยที่ 1 เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นนิติบุคคลอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้… (2) ดูแล ควบคุม และกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจซึ่งปฏิบัติการ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น และ มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่ง พระราชบัญญัติดังกล่าว ได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 แบ่งส่วนราชการออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนั้น หน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วไปที่จะควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาส่วนราชการและข้าราชการตำรวจในสังกัดจำเลย ที่ 1 ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และนโยบายของจำเลยที่ 1 ในภาพรวม โดยมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตนธำรงไว้ซึ่งวินัยของข้าราชการ การที่จำเลยที่ 2 ไม่ประพฤติตนธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ใช้รถจักรยานยนต์ผิดกฎหมายไม่ติดแผ่นป้าย ทะเบียน ไม่มีประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ไม่เสียภาษีประจำปี ไม่ติด กระจกมองข้างและขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางวินัยและพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 ได้ความจากพันตำรวจโทมนตรี ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ว่า ภายหลัง เกิดเหตุ ผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ต้นสังกัดจำเลยที่ 2 มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อ ดำเนินการทางวินัย และได้พิจารณาลงโทษกักขัง 30 วัน ตามสำเนาคำสั่งกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชนที่ 10/2565 และพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมว่า ขับรถจักรยานยนต์ไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย ขับรถไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายบนพื้นทาง (ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย) นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้าย ทะเบียนมาใช้ในทาง นำรถที่ยังไม่ได้เสียภาษีประจำปีมาใช้ในทาง นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่จัดให้มีประกันความ เสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 มาใช้ในทาง ใช้รถที่มีส่วนควบหรือเครื่อง อุปกรณ์ไม่ครบถ้วน (ไม่มีกระจกมองข้าง) ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น และขับรถจักรยานยนต์ในทางเดินรถในเขตกรุงเทพมหานครโดยใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด


พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา ศาลมีคำพิพากษาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ1049/2565 ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง เมื่อพฤติกรรมการขับขี่และใช้รถจักรยานยนต์ฝ่าฝืน กฎหมายเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 ที่ขาดความสำนึกรู้ผิดชอบ ทั้งๆ ที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งกำชับให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาวินัยจราจร และปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ควบคุม เสริมสร้างความประพฤติ และวินัยข้าราชการตำรวจ ซึ่งจำเลยที่ 2 เคยเข้าร่วมอบรมประชุมกวดขันระเบียบวินัยเกี่ยวกับความประพฤติและ ระเบียบข้าราชการตำรวจที่หน่วยงานต้นสังกัดจัดขึ้นตามคำสั่งจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจโดยลำพังในการจัดระเบียบจราจร ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการจัดการระบบจราจร โดยมีกระบวนการและขั้นตอนดำเนินงานร่วมกันหลายหน่วยงาน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระทรวงคมนาคม และองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ดังนั้น จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรมีหน้าที่ดูแลการจราจร รักษาความปลอดภัยบนท้องถนนให้ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งและนโยบายเป็นหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นหน้าที่และความ รับผิดชอบโดยเฉพาะของจำเลยที่ 1 เพียงหน่วยงานเดียว เมื่อเหตุคดีนี้เกิดจากที่จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดขับรถจักรยานยนต์ชนผู้ตายถึงแก่ความตายซึ่งเป็นนิติเหตุอันเป็นความรับผิดเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ อาจให้สัตยาบันเข้ารับเอาผลการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ได้ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ทั้งสอง ในประเด็นว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดั่งที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้ง สอง เหตุคดีนี้เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 โดยลำพัง จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเป็นการเฉพาะตัว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 บัญญัติให้ผู้กระทำละเมิดรับผิดใช้ค่าปลงศพ รวมถึงค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นด้วย ในกรณีทำให้เขาถึงตาย ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายดังกล่าว ศาลจะต้องพิเคราะห์ถึงค่าปลง ศพและค่าใช้จ่ายตามจารีตประเพณีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตลอดจนฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นบิดามารดา เมื่อพิจารณาตารางสรุปยอดค่าใช้จ่าย รายละเอียดค่าใช้จ่าย บิลเงินสด หลักฐานการชำระเงิน และภาพถ่ายงานศพซึ่งมีแขกร่วมงานจำนวนมาก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และผู้บริหารระดับประเทศ ค่าปลงศพและ ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่นๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 331,230 บาทนั้นเหมาะสมแล้ว กำหนดให้ตามขอ ส่วนค่า รักษาพยาบาลก่อนตาย เงินบริจาคมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ค่าไอแพด กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้าของผู้ตาย ไม่ใช่ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามคำขอโจทก์ทั้งสอง จึง ไม่กำหนดให้ ส่วนค่าเรือลอยอังคาร โจทก์ทั้งสองไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากเป็นเรือของตำรวจน้ำไม่คิดค่าใช้จ่าย จึง ไม่กำหนดให้

สำหรับค่าขาดไร้อุปการะ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคท้าย การ กำหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้จะต้องพิจารณาตามฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่า อุปการะเลี้ยงดู ตลอดจนรายได้ของผู้ตายและระยะเวลาในการให้ความอุปการะเลี้ยงดูหากผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ ขณะ เกิดเหตุ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 มีอายุ 64 ปีเท่ากัน มีโอกาสได้รับการอุปการะตามกฎหมายได้ไม่น้อยกว่า 15 ปี ผู้ตายอายุ 33 ปี ประกอบวิชาชีพจักษุแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทาง 2 สาขา อนุสาขาโรคจอตาและวุ้นตา และอนุ สาขาโรคภูมิคุ้มกันและการอักเสบ ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งนายแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 21,000 บาท และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง ที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข (พ.ต.ส.) เดือนละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 31,000 บาท หากอยู่ เวรนอกเวลาจะได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 1,200 บาท ตามเอกสารหมาย จ.58 หรือ ล.73 และเอกสารหมาย จ.59 หรือ ล.74 ได้ความจากพันตำรวจโทกมินทร์ สว่างจิตต์ ตำแหน่งสารวัตรฝ่ายธุรการกำลังพล กองบังคับการ อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจว่า หากผู้ตายได้รับการคัดเลือกเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดโรงพยาบาลตำรวจใน ฐานะผู้มีคุณวุฒิ พบ.วว. สาขาจักษุวิทยา และอนุสาขาจักษุวิทยาภูมิคุ้มกันและการอักเสบ จะได้รับการแต่งตั้ง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ (สบ.1) ชั้นยศว่าที่ร้อยตำรวจตรี และจะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือนสูงขึ้น ตามลำดับ นอกจากนั้น ผู้ตายทำงานนอกเวลาที่โรงพยาบาลเอกชนอีก 3 แห่ง มีรายได้เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 1,800,000 บาท ถึง 2,400,000 บาท เมื่อมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากขึ้น ก็จะได้รับค่าตอบแทนมาก ขึ้นเป็น 3 ถึง 5 เท่า ซึ่งสอดรับกับคำเบิกความของนายแพทย์อดิศัย วราดิศัย จักษุแพทย์ด้านจอประสาทตาว่า หากแพทย์มีอายุการทำงานมากขึ้น มีชื่อเสียง ทำงานหลายแห่ง จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 300,000 ถึง 500,000 บาทหรือมากกว่านั้น จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานหักล้างเป็นอย่างอื่น ดังนั้น หากผู้ตายมีชีวิตอยู่จะมีรายได้ เพิ่มมากขึ้นตามประสบการณ์และอายุการทำงาน เมื่อคำนึงถึงโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ แม้จะมีรายได้ จากเงินเดือน แต่อยู่ในวัยชรา มีปัญหาสุขภาพต้องไปพบแพทย์และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง มีภาระ ค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวต่อเดือนจำนวนค่อนข้างสูง เห็นสมควรกำหนดค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์ที่ 1 และ โจทก์ที่ 2 คนละ 13,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงิน 331,230 บาท 13,500,000 บาท และ 13,500,000 บาท ตามลำดับ นับแต่วันทำละเมิดวันที่ 21 มกราคม 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้า กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตรา เพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปีตามที่โจทก์ขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ประกอบมาตรา 224. -419-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ทูน” แจ้งความถูกวัยรุ่นทำร้าย ขณะซื้อของย่านคลองถม

สน.พลับพลาไชย1 11 มิ.ย.- “ทูน หิรัญทรัพย์” อดีตนักแสดงรุ่นใหญ่ แจ้งความ สน.พลับพลาไชย 1 ถูกวัยรุ่นทำร้าย ขณะเดินซื้อของย่านคลองถม อีกฝ่ายอ้างป้องกันตัว นายทูน หิรัญทรัพย์ หรือ นายสพัชญ์นนทน์ อายุ 69 ปี อดีตดารานักแสดงรุ่นใหญ่ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 1 กรณีถูกวัยรุ่น 2 คน รุมทำร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บ ขณะไปเดินซื้อของในซอยข้างคลองถมพลาซ่า เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ที่ผ่านมา นายทูน เล่าเหตุการณ์ว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองและครอบครัวได้ไปเดินหาซื้อไฟในย่านคลองถม ระหว่างนั้นก็มีผู้คนมาทักทายเพราะเห็นว่าตัวเองเป็นดารา แต่มีวัยรุ่นคนหนึ่งพูดจาไม่น่าฟังบอกว่าดาราอะไรเคยไม่รู้จัก จึงตักเตือนในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ ว่า จะพูดจาอะไรก็ต้องให้เกียรติคนอื่นโดยเฉพาะคนที่อาวุโสกว่า จนเกิดมีปากเสียงกัน จากนั้นวัยรุ่นดังกล่าวก็ชกเข้าที่เบ้าตาขวา ซึ่งเป็นตาข้างที่บอดอยู่ จึงไม่เห็นหมัด ก่อนจะมีตำรวจเข้ามาระงับเหตุ แต่วัยรุ่นคู่กรณีก็ยังทำท่าไม่พอใจฮึดฮัดใส่อยู่ ก่อนจะถูกควบคุมตัวไปที่ สน.พลับพลาไชย ซึ่งตัวเองก็ได้เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีด้วยเช่นกัน นายทูน กล่าวว่า ตลอดชีวิตที่เป็นนักแสดงนั้นเคยแต่เจอผู้คนเข้ามาทักทาย ขอถ่ายรูป ด้วยความมีมิตรไมตรี […]

พายุ “หวู่ติบ” ไม่เข้าไทย แต่เสริมมรสุม ฝนเพิ่ม คลื่นแรง เตือนระวังน้ำหลาก

กรุงเทพฯ 12 มิ.ย.-ไทยมีฝนตกเพิ่ม โดยพายุ​ “หวู่ติบ” จะส่งอิทธิพลให้ร่องมรสุมพาดผ่านและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น กรมอุตุฯ เตือนประชาชนเฝ้าระวังภัยน้ำหลากและคลื่นลมแรงอย่างใกล้ชิด นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ช่วงวันที่ 12–13 มิถุนายน 2568 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ ระนอง พังงา จันทบุรี และตราด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากร่องมรสุมที่พาดผ่านตอนบนของประเทศ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรง กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศแจ้ง​เตือน​ว่า พายุโซนร้อน “หวู่ติบ” บริเวณทะเลอันดามันตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเกาะไหหลำของจีนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 160 กิโลเมตร มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวทางตะวันตกเฉียงเหนือ คาดว่า​ จะขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้ในช่วงวันที่ 13-14 มิ.ย.68 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ แม้ศูนย์กลางพายุจะไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่พายุนี้เป็นอีกปัจจัยที่เสริมให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนตกหนัก คลื่นลมในทะเลอันดามันตอนบนสูง 2–3 เมตร และในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองอาจสูงมากกว่า 3 […]

ผลแล็บพบข้าวมันไก่ติดเชื้อ ทำครู-นร.ท้องเสีย 23 คน

ปราจีนบุรี 12 มิ.ย. – แม่ค้ามือเป็นแผล! ครู-นักเรียน กินข้าวมันไก่ ท้องเสียยกชั้น หามส่ง รพ. แพทย์ชี้ชัดผลแล็บ พบเชื้อสตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ต้นเหตุทำอาหารเป็นพิษ จากกรณีที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมือง จ.ปราจีนบุรี ต้องระดมทั้งรถตู้โรงเรียน และรถฉุกเฉิน เร่งนำตัวนักเรียนและคุณครู ส่งโรงพยาบาล จำนวน 23 คน หลังทุกคนกินข้าวมันไก่ในช่วงพักกลางวัน พอตกบ่ายก็มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน บางรายเป็นไข้หนาวสั่น คาดสาเหตุมาจากอาหารเป็นพิษ ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งรักษาอาการที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร รวม 16 คน (นักเรียน 15 คน ครู 1 คน) เบื้องต้น แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วบางส่วนเหลือคุณครูที่ต้องดูอาการเนื่องจากมีอาการช็อก ส่วนนักเรียน ยังคงต้องดูอาการอีก 9 คน ซึ่งคาดว่าแพทย์น่าจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ภายในวันนี้ ส่วนที่ รพ.ค่ายจักรพงษ์ มีจำนวน 7 คน (เป็นนักเรียนทั้งหมด) เบื้องต้น […]

หลุดภาพ​ “ชาดา-สันติ-​นายกด๊อยซ์” สะพัดขน 6 สส. ​ซบ ​“ภท.”

กทม. 11​ มิ.ย. – “ชาดา-สันติ-นายกด๊อยซ์” ร่วมวงกินข้าว หลังสะพัดขน “6 สส.มะขามหวาน” เด็กลุงป้อม ย้ายซบ “ภูมิใจไทย” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ ภายหลัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.68 แต่งตั้ง นางจิตรา หมีทอง ซึ่งเป็นทีมงานนายสันติ พร้อมพัฒน์ แกนนำ 6 สส. เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ เป็นคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และ รมว.มหาดไทย ล่าสุดช่วงเย็น วันที่ 11 มิ.ย. ได้ปรากฏภาพนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้รับประทานอาหารเย็น ร่วมกับ นายสันติ และ นายอัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง […]

ข่าวแนะนำ

สยบรอยร้าว “พีระพันธุ์” โพสต์ภาพคู่ “เอกนัฏ” ยัน รทสช.ไปต่อ

กรุงเทพฯ 12 มิ.ย. – “พีระพันธุ์” โพสต์ภาพโชว์ปึก “เอกนัฏ” สยบรอยร้าว ขอบคุณร่วมอดทนต่อสู้ทุนใหญ่ ยัน รทสช.ไปต่อแน่ ป้อง “ทีมสุดซอย” ถูกใส่ร้าย เมื่อเวลา 21.00 น. วันนี้ (12 มิ.ย.68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ภาพถ่ายคู่กับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมข้อความระบุว่า “ผูกพันและเชื่อใจ การที่มีคนกล่าวหาขิงว่าจะไปขอให้มาโค่นทำลายผมจากหัวหน้าพรรค ผมได้แต่ขำ ขิงกับผม เราผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมามาก คำพูดแบบนี้จึงเป็นเรื่องขำๆ ของคนที่คิดคำแก้ตัวไม่ออก ผมกับท่านเลขาฯ ขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เรารู้จักกันมานาน ตั้งแต่ขิงยังไม่เข้ามาวงการเมือง จนมาทำงานการเมืองร่วมกัน ขิงเป็นคนหนุ่มที่มุ่งมั่นทำงานการเมืองเพื่อประชาชน ไม่ใช่มาเล่นการเมือง เป็นคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา เมื่อผมจะทำพรรคการเมือง คนแรกที่ผมคิดถึงจึงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ‘ขิง’ ผมหารือกับขิงว่าอยากชวนเขามาทำพรรคการเมืองตามแนวทางที่เราอยากทำอยากให้เป็น คือเป็นพรรคการเมืองที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชน เข้ามาแก้ไขปัญหาทุกอย่างเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อจะมีสถานะหรือมีตำแหน่งทางการเมือง […]

จับตานายกฯ ถกหัวหน้าพรรคร่วมบางพรรค ปรับ ครม.

กรุงเทพฯ 12 มิ.ย. – จับตา “นายกฯ แพทองธาร” ถกหัวหน้าพรรคร่วมบางพรรค ปรับ ครม. หลังเลื่อนประชุม ครม.สัญจร จ.พิษณุโลก 23-24 มิ.ย.นี้ คาดรอ ครม.ใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันพรุ่งนี้ (13 มิ.ย.) ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งลาราชการในเวลา 11.30-13.00 น. หลังจบภารกิจเป็นประธานในพิธีปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 และมีรายงานว่านายกฯ มีภารกิจร่วมประชุมผู้ปกครอง จากนั้นจะกลับมาปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงบ่าย ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายกฯ จะเชิญหัวหน้าพรรคร่วมบางพรรค หารือถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ท่ามกลางกระแสข่าวการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีระหว่างพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย และปัญหาภายในของพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เกิดความชัดเจน นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้แจ้งเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร ) ระหว่างวันที่ 23-24 มิ.ย.นี้ ที่ จ.พิษณุโลก ออกไปก่อน […]

เสียงจากช่องบก รอวันสันติภาพ

อุบลราชธานี 12 มิ.ย. – ผ่านมาแล้ว 15 วัน นับตั้งแต่เหตุการณ์ปะทะที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียด แต่ชาวบ้านในพื้นที่ต่างตั้งความหวังว่าการประชุม JBC วันที่ 14 มิ.ย.นี้ จะหาทางออกได้โดยสันติ เพื่อให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ.-สำนักข่าวไทย

แอร์อินเดียพร้อมผู้โดยสาร 242 คน ตกที่สนามบินอาห์เมดาบัด

นิวเดลี 12 มิ.ย. – เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์ อินเดีย ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังกรุงลอนดอน ของอังกฤษ พร้อมด้วยผู้โดยสาร 242 คน เกิดอุบัติเหตุตก หลังจากที่เพิ่งออกเดินทางจากสนามบินเมืองอาห์เมดาบัด ทางตะวันตกของอินเดีย เพียงไม่กี่นาที แอร์อินเดีย กล่าวว่า เครื่องบินลำดังกล่าวมีกำหนดเดินทางไปยังสนามบินแก็ตวิก ในอังกฤษ ขณะที่ตำรวจกล่าวว่า เครื่องบินตกในบริเวณพื้นที่พลเรือนใกล้กับสนามบิน ไฟลท์เรดาร์ 24 ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวทางอากาศ กล่าวว่า เครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลเนอร์ ซึ่งเป็นเครื่องบินโดยสารที่ทันสมัยมาก ๆ ที่ให้บริการอยู่ในขณะนี้ โทรทัศน์ของอินเดีย รายงานว่า อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่เครื่องบินกำลังทะยานขึ้นจากสนามบิน ภาพจากโทรทัศน์ช่องหนึ่ง แสดงให้เห็นภาพเครื่องบินออกจากสนามบินและบินอยู่เหนือพื้นที่ย่านพักอาศัยของประชาชน จากนั้นเครื่องบินก็หายไปจากจอ ก่อนที่จะเห็นควันไฟขนาดใหญ่ลอยจากบ้านเรือนประชาชนขึ้นไปบนท้องฟ้า นอกจากนั้น ยังมีภาพประชาชนถูกเคลื่อนย้ายด้วยเปลไปยังรถพยาบาลที่นำผู้ได้รับบาดเจ็บไปโรงพยาบาล ช้อมูลการควบคุมการจราจรทางอากาศที่สนามบินอาห์เมดาบัด ระบุว่า เครื่องบินออกเดินทางเมื่อเวลา 13.39 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ ตรงกับ 15.09 น. ตามเวลาในประเทศไทย จากทางวิ่งหมายเลข 23 เครื่องบินส่งสัญญาณฉุกเฉินขอความช่วยเหลือ แต่หลังจากนั้นก็ติดต่อนักบินไม่ได้อีกเลย.-813.-สำนักข่าวไทย