“บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก” แถลงเคลียร์ปมขัดแย้ง หลังนายกฯ เรียกพบเช้านี้

20 มี.ค. – ผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ และ “บิ๊กโจ๊ก” แถลงข่าวร่วมกัน หลังนายกฯ เรียกไปพบที่ทำเนียบฯ เช้านี้ เคลียร์ปัญหาขัดแย้งใน สตช.


พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า วันนี้ เชิญสื่อมวลชนมาเพื่อแถลงให้ข้อมูล ให้ข่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในฐานะที่ตนเป็น ผบ.ตร. กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ผ่านมาภาพที่ออกสู่ประชาชน อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในคดีที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และนายตำรวจที่ตกเป็นผู้ต้องหาทั้งหมดในคดีเว็บพนันออนไลน์ โดยตนเป็นคนคิดและตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อชวนไปพบนายกรัฐมนตรีในช่วงเช้าวันนี้ จากนั้นได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ให้รวมสำนวนคดีเว็บพนันทั้ง สน.เตาปูน และ สน.ทุ่งมหาเมฆ ไปให้ ป.ป.ช. ดำเนินการต่อ เพื่อความความยุติธรรม และไม่เกิดภาพของความขัดแย้งขึ้นอีก

ผบ.ตร. ย้ำว่า ที่ผ่านมาได้คุยกับพลเอกสุรเชษฐ์ มาตลอด ถ้าไม่เจอก็โทรคุย ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่อยากให้ถูกนำไปมองว่าเป็นความขัดแย้งของ 2 คน ซึ่งเกิดจากสื่อโซเชียลมีเดียทั้งสิ้น ที่พยายามปั่นให้เกิดความขัดแย้งกัน โดยหลังจากนี้หากเกิดภาพความขัดแย้งขึ้นอีกให้เข้าใจว่าเกิดจากโซเชียลมีเดีย ไม่ได้เกิดจากตนทั้งสองคน


พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เคยคิดเตะสกัดขา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้น ทั้งนี้ ยอมรับว่า เครียดกับภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะมีปัญหาหลายอย่างเข้ามาแต่ก็พยายามประคองสถานการณ์ โดยตนเหลือเวลาราชการอีกแค่ 194 วัน เป็นการนับถอยหลังที่อยากทำทุกวันให้ดีที่สุด โดยฟางเส้นสุดท้ายที่ตัดสินใจยุติปัญหา คือ การโทรศัพท์ไปหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และพาไปพบนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม ผบ.ตร. ย้ำในช่วงการแถลงข่าวตอนท้ายว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมีสิทธิ์ในแคนดิเดต ผบ.ตร. คนใหม่ ที่จะแต่งตั้งช่วงปลายปีนี้ ส่วนเส้นเงินที่ทีมทนาย “บิ๊กโจ๊ก” แถลงว่า เส้นเงินวิ่งถึงนายตำรวจยศสูงอักษรย่อ “ต.” ภรรยา พี่สาวและพี่ชาย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้มีการสั่งให้ตรวจสอบทางลับแล้ว

ด้าน พล.ต.อสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ผบ.ตร. ได้พาตนไปพบกับท่านนายกฯ โดย ผบ.ตร. มีแนวคิดที่จะยุติความขัดแย้งในองค์กรตำรวจ วันนี้ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ ตั้งแต่รอง ผบ.ตร. ถึงชั้นประทวนทุกคนมีผู้บังคับบัญชาคนเดียวคือ ผบ.ตร. วันนี้ท่านนายกรัฐมนตรี ผบ.ตร. และตนเอง มีแนวคิดเดียวกัน คือเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชน


ส่วนหมายจับ หมายเรียกก่อนหน้านี้ จะเป็นกระบวนการของ ป.ป.ช. ดำเนินการ ซึ่งจะออกหมายเรียก หรือหมายจับ ก็เป็นเรื่องของ ป.ป.ช. ซึ่งตนได้อธิบายในส่วนของกระบวนการทางกฎหมายให้เข้าใจ ทั้งนี้ “บิ๊กโจ๊ก” ย้ำว่า จะทำงานช่วย ผบ.ตร. ส่วนที่ ผบ.ตร. แถลงวันนี้เพื่อให้สังคมเกิดความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีความขัดแย้งในองกรตำรวจขึ้นอีก

กรณี ตำรวจ สน.เตาปูน ออกหมายเรียก “บิ๊กโจ๊ก” ไปรับทราบข้อกล่าวหา ในวันพรุ่งนี้ (21 มี.ค.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลักกฎหมาย ป.วิอาญา กรณี สน.เตาปูน ออกหมายเรียก ให้ตนไปรับทราบข้อหาคดีเว็บพนัน bnk มาสเตอร์ ปัจจุบันตนยังถือว่าไม่ได้รับหมาย เพราะช่วงส่งหมายตนอยู่เชียงใหม่ กระบวนการรับหมายจึงยังไม่เริ่มขึ้น โดยทุกคดีที่เกี่ยวเนื่องกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจะต้องส่งไป ป.ป.ช. โดย ผบ.ตร. ได้พูดชัดเจนแล้ว การเปิดแถลงข่าววันนี้ จึงถือเป็นสัญญานแรกที่จะคืนความสุข ความสามัคคีในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

“บิ๊กโจ๊ก” ระบุว่า จากนี้ ตนจะขอกินข้าวกลางวันกับ ผบ.ตร. ทุกวันจันทร์ พุธ และ ศุกร์ ไม่ว่า ผบ.ตร. อยู่ที่ไหน ก็จะขอไปกินข้าวด้วย โดยต้องเสียสละเรื่องราวในอดีต ใครมีคดีก็ต้องไปแก้ข้อกล่าวหา ทุกคนต้องทำงานเต็มที่ วันนี้ถือว่าเป็นการ Set Zero ใหม่แล้ว

“บิ๊กโจ๊ก” กล่าวว่า จะไม่มีการเอาคืนกับพนักงานสอบสวนที่ทำสำนวนคดีตนเอง เพราะไม่เช่นนั้นจะถูกนายกรัฐมนตรีตำหนิ และสังคมมองว่าตนก็ยังเป็นคนเดิม ส่วนตัวเหลืออายุราชการ 7 ปี วันนี้ทุกอย่างจึงต้องให้อภัย เพราะการเป็นผู้บังคับบัญชาต้องรู้จักเสียสละและให้อภัย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จะมีการถอนฟ้องคดีตำรวจที่เกียวข้องทั้งหมด เช่น คดีแจ้งความเอาผิดตำรวจชุดบุกค้นกุมบ้านพักกว่า 200 นาย ซึ่งมีนายตำรวจยศพลตำรวจเอก ถูกแจ้งเอาผิดด้วย 2 นาย และคดีฟ้องหมิ่นประมาท พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ส่วนกรณี พล.ต.ต.นำเกียรติ แถลงเส้นเงิน bnk Master ว่ามี ภรรยา, พี่สาว และคนใกล้ชิดนายตำรวจยศสูง จะต้องมีการตรวจสอบวินัย อีกทั้งกรณีนี้ ยังเป็นแค่การพูด ไม่มีตัวเอง ส่วนลูกน้อง 8 นาย ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีเว็บพนันมินนี่ และถูก ผบ.ตร. สั่งมาช่วยราชการที่ ศปก.ตร. จะต้องช่วยราชการต่อไป ทั้งนี้ย้ำว่านั่งแถลงวันนี้ ไม่ใช่ สตช. การละคร ไม่ใช่อีเวนต์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากแถลงข่าว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้แสดงความเคารพ โดยการยกมือไหว้และโค้งคำนับ และยืนชิดกันเพื่อให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ และมีจังหวะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้เอื้อมมือมาแตะในลักษณะประคองไหล่ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้วย เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ฟื้นตัวขึ้นใหม่

ทั้งนี้ ในระหว่างแถลงข่าว สื่อมวลชนยังขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล สบตากันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ว่าได้คืนดีกันแล้วจริงๆ ทั้งนี้ ยังกล่าวถึงกองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายว่าให้ยุติและร่วมกันทำงานเพื่อประชาชน .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]