กองปราบฯ 7 ก.พ. – สาวไทยร้องกองปราบฯ ถูกทนายดัง ยักยอกเงินสามีชาวจีน กว่า 10 ล้านบาท ซ้ำยังท้าทายให้ไปแจ้งความดำเนินคดี
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (7 ก.พ.) ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ อดีต สห.ทอ. พร้อมด้วย นายณัฐปกรณ์ สุดชา หรือทนายเจส ได้พา น.ส.รุ่งนภา หรือ มีนนี่ ภรรยานายหยุนคาย เปี้ยน (Yunkai Bian) สัญชาติจีน เข้าพบ พ.ต.ต.หญิง นิภาภรณ์ แก้วมณีโปรด สว.(สอบสวน) กก.1 บก.ป. แจ้งความร้องทุกข์กรณีถูกทนายชื่อดัง อักษรย่อ ธ. ก่อเหตุยักยอกทรัพย์ เงินในบัญชีธนาคารของสามีชาวจีน และเงินกองทุน ที่สามีซื้อให้ลูกเพื่อไว้เป็นค่าเล่าเรียน จำนวนกว่า 10 ล้านบาท
เนื่องจากสามีชาวจีนจ้างทนายความคนดังกล่าวช่วยแก้ต่างคดีต่างๆ และให้ทำธุรกรรมต่างๆ ในประเทศไทย ด้วยความไว้ใจจึงฝากบัตร ATM สมุดบัญชีธนาคาร และโทรศัพท์ไว้กับทนาย หลังจากที่สามีถูกส่งตัวกลับจีน ทนายก็ได้ดำเนินการถอนเงินในบัญชีสามีและบัญชีกองทุนทั้งหมดกว่า 10 ล้านบาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีตัวเองและบุคคลอื่น ภรรยามาทราบภายหลังเนื่องจากจะไปเบิกเงินมาจ่ายค่าเทอมลูกจึงได้รู้ความจริงว่าเงินหมดบัญชี ได้รับความเดือดร้อน จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ พร้อมด้วยทนายความจึง พาผู้เสียหายเข้าแจ้งความในคดีอาญาความผิดฐานยักยอกทรัพย์
น.ส.รุ่งนภา หรือ มีนนี่ เปิดเผยว่า ตนรู้จักสามีชาวจีนคนนี้เมื่อปี พ.ศ.2561 โดยตนเข้าไปช่วยดูงานด้านบัญชีของร้านอาหารจีนที่อาร์ซีเอ. สนิทกันจนถึงขั้นขอแต่งงาน โดยสามีพาตนไปแต่งงานที่เซี่ยงไฮ้ ก่อนกลับมาจดทะเบียนสมรสกันที่เขตหลักสี่ เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2561 ช่วยกันทำมาหากิน เปิดร้านอาหารไทยเพิ่มชื่อร้านอาหารนางครัว ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ อยู่กินกันจนมีลูก 1 คน
ต่อมาต้นปี 65 ปรากฏว่าสามีถูกทางการจีนติดต่อขอตัวมาทางประเทศไทย ผ่านสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าเป็นคนที่ทางการจีนต้องการตัว แต่ไม่ทราบว่ามีหมายจับคดีอะไร ก่อนตำรวจ ตม.พาตัวไปควบคุมตัวไว้ที่ห้องควบคุมตัว สตม.ซอยสวนพลู เป็นเวลาหลายเดือน ระหว่างนั้นทางสามีได้ให้ทนายความคนดังกล่าวทำธุรกรรมด้านการเงินต่าง ๆ แทน โดยให้บัตรเอทีเอ็ม และบอกรหัส รวมทั้งโทรศัพท์มือถือกับทนายความไป โดยตนไม่ทราบเรื่อง
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2565 ตนได้ไปเบิกเงินธนาคารที่เป็นของสามีกับตนร่วมเปิดไว้ด้วยกัน ปรากฏว่าเงินในบัญชีจำนวนกว่า 10 ล้านบาท หายไปหมด จึงไปแจ้งความ สน.ทองหล่อ เมื่อ 13 ธ.ค.2566 โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนเบิกเงินทั้งหมดในบัญชีไประหว่างวันที่ 27-30 มิ.ย.2565
ด้านนายณัฐปกรณ์ หรือทนายเจส กล่าวว่า เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่สามีของมีนนี่ได้ไปว่าจ้างทนายชื่อดังคนนี้ให้ช่วยทำธุรกรรมต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งทางตัวสามีมีคดีที่ประเทศจีน จะต้องมีการติดต่อระหว่างตำรวจไทยและตำรวจจีน ต่อมาทางการจีนได้ประสานของตัวมาทางตำรวจไทยก่อนจะควบคุมตัวสามีไปไว้ที่ควบคุมตัว สตม.ซึ่งทำให้ตัวสามีไม่สามารถทำธุรกรรมใด ๆ ได้ ด้วยความไว้วางใจจึงมอบทั้งโทรศัพท์มือถือ บัตรเอทีเอ็ม ให้ทนายคนดังกล่าว โดยบอกว่าให้เอาเงินบางส่วนมาทำเรื่องประกันตัวเขา ซึ่งช่วงนั้นทางสามีได้แต่งตั้งเขาให้เป็นทนายความ
หลังจากนั้นสามีถูกส่งตัวไปยังประเทศจีน ซึ่งช่วงนั้นมีนนี่ ภรรยายังไม่ทราบว่ามีการเบิกถอนโอนเงินออกไป จนเดือน ธ.ค. มีนนี่ ได้ไปเบิกเงินกองทุนชื่อลูกไว้เป็นค่าเล่าเรียน ปรากฎว่าเงินในบัญชีหายไปหมด เมื่อตรวจสอบกับทางธนาคาร พบว่ามีการถอนเงินสดด้วยบัตรเอทีเอ็ม และโอนไปเข้าธนาคารอื่น ชื่อบัญชีของทนายความคนดังกล่าวหลายครั้ง รวมแล้ว 10 ล้านบาท ซึ่งตรวจพบว่าการโอนเงินดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีนนี่ ไปแจ้งยกเลิกการเป็นทนายความให้สามี พร้อมขอบัตรเอทีเอ็ม และโทรศัพท์มือถือของสามีคืน ซึ่งจนถึงวันนี้ทนายคนดังกล่าวก็ยังไม่ส่งมอบคืนให้ภรรยา เมื่อมีการทวงถามทนายคนดังกล่าวอ้างว่าได้โอนเงินทั้งหมดให้กับแม่ของสามีที่ประเทศจีนแล้ว
หลังจากนั้นตนได้ทำเรื่องสอบถามไปทางแม่สามีที่ประเทศจีนก็ได้ตอบกลับมาว่าไม่ได้รับโอนเงินใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตัวมีนนี่ ภรรยาตามกฎหมายในประเทศไทยก็ไม่ได้รับเงินส่วนนี้เช่นกัน สอบถามทนายคนดังกล่าวแจ้งว่า ถ้าอยากได้เงินก็ให้ไปฟ้องร้องเอาเขาไม่กลัวอะไร วันนี้จึงพาผู้เสียหายมาแจ้งความกองปราบฯ เอาผิดทนายคนดังฐานยักยอกทรัพย์
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายก่อนจะประสานไปยังพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้ต่อต่อทนายคนดังกล่าวมา เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.-414-สำนักข่าวไทย