บก.ปปป. 4 ธ.ค. – “อัจริยะ” เข้ายื่นหนังสือ บก.ปปป. เอาผิดเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ กรณีปล่อยเนื้อวัวหมดอายุและเน่าเสียมาให้คนไทยบริโภค ตั้งแต่ปี 2563-2564 อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยมิชอบตามมาตรา 157
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางมายื่นหยังสือหลักฐานแก่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. ซึ่งเป็นหลักฐานเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ด่านชลบุรี ด่านฉะเชิงเทรา และด่านท่าเรือคลองเตย รวมทั้งข้าราชการระดับสูงของกรมปศุสัตว์ ในกรณีที่ปล่อยเนื้อวัวหมดอายุและเน่าเสียมาให้คนไทยบริโภค ตั้งแต่ปี 2563-2564 อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยมิชอบตามมาตรา 157
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนได้รับหลักฐานจากบริษัทชิปปิ้งรายหนึ่งว่า กรมปศุสัตว์ปล่อยปละละเลยในการตรวจสอบซากเนื้อสัตว์นำเข้ามาในราชอาณาจักร ถึงขนาดปล่อยให้เนื้อวัวที่หมดอายุนำไปจำหน่ายภายในประเทศ ในช่วงปี 2563-2564 โดยพบว่า มีข้าราชการที่เป็นระดับหัวหน้าด่านปศุสัตว์และระดับสูงที่ออกใบอนุญาตให้นำเนื้อวัวส่งไปจำหน่ายนั้น ในปัจจุบันได้ไต่เต้าเป็นข้าราชการระดับสูงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่ผู้ตรวจการไปจนถึงรองอธิบดีกรมปศุสัตว์ จึงแน่ชัดว่าข้าราชการเหล่านี้ช่วยเหลือเอื้อผลประโยชน์กับบรรดาบริษัทชิปปิ้งบางเจ้าในการกระทำผิดกฎหมาย
ซึ่งเนื้อวัวหมดอายุที่นายอัจฉริยะมาเปิดเผยนั้น พบว่านำเข้ามาในประเทศไทยโดยถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2561 ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง มีการสำแดงเอกสารนำเข้าและเสียภาษีถูกต้องจำนวน 3 ตู้ รวมน้ำหนักทั้งสิ้นประมาณ 80 ตัน ซึ่งเนื้อวัวเหล่านี้จะหมดอายุในช่วงต้นปี 2563 แต่ปรากฏว่าเนื้อวัวดังกล่าว กลับถูกแช่กักเก็บเอาไว้ที่ท่าเรือจนเน่าเสียหมดอายุ ก่อนที่ช่วงปลายปี 2563-2564 ทางกรมปศุสัตว์โดยหัวหน้าด่านจังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และกรุงเทพฯ รวมทั้งฝ่ายตรวจโรค กับเซ็นให้ผ่านว่าเนื้อวัวเหล่านี้มีคุณภาพและออกจากท่าเรือไปเก็บไว้ที่ห้องเย็น จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนจะกระจายไปจำหน่ายทั่วประเทศ
สิ่งที่ผิดปกติคือ เนื้อวัวเหล่านี้ผ่านการตรวจสอบและให้ผ่านออกใบอนุญาตโดยกรมปศุสัตว์ ทั้งที่เป็นการตรวจและออกใบอนุญาตหลังจากเนื้อวัวเหล่านี้หมดอายุแล้ว โดยสภาพเนื้อวัวค่อนข้างแน่ชัดว่าเน่าเสียแล้ว ซึ่งความเป็นจริงต้องยึดเนื้อวัวเหล่านี้เอาไว้เพื่อนำไปทำลาย แต่กลับออกใบอนุญาตเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ โดยอาจจะมีการนำเนื้อวัวเหล่านี้ไปแปรรูป เปลี่ยนแปลงฉลากและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บุคลากรในกรมปศุสัตว์ปล่อยปละละเลยเอื้อผลประโยชน์ให้กับบริษัทชิปปิ้งและกระบวนการตรวจสอบของกรมปศุสัตว์มีความผิดปกติอย่างมาก
แน่นอนว่า ยังไม่มีประชาชนมาร้องเรียนหรือจับผิดสังเกต เพราะเรื่องนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เนื้อวัวเหล่านั้นน่าจะจำหน่ายไปหมดแล้ว อาจจะผ่านการแปรรูปหรือชำระล้างเพื่อขจัดพิรุธว่าเป็นเนื้อเน่า ซึ่งตนทราบมาว่า บริษัทชิปปิ้งที่นำเข้าเนื้อวัวหมดอายุนี้นั้น มีการส่งให้ศูนย์การค้ารายใหญ่ระดับประเทศจำหน่ายด้วย จึงกล่าวได้ว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศเป็นอย่างมาก ตนจึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีกับบริษัทชิปปิ้ง 2 เจ้าที่นำเข้าเนื้อวัวลอตนี้ รวมทั้งข้าราชการระดับสูงของกรมปศุสัตว์ ตั้งแต่หัวหน้าด่านกรุงเทพมหานคร ชลบุรี และฉะเชิงเทรา รวมทั้งผู้ตรวจการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับรองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้รับผิดชอบออกใบอนุญาตให้เนื้อวัวหมดอายุเหล่านี้เข้ามาสู่ในราชอาณาจักร
สำหรับเนื้อวัวทั้ง 3 ตู้นั้น นำเข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่ปี 2561 แต่มีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้ เนื้อวัวตู้ที่ 1 จำนวน 25 ตัน นำเข้ามาจากประเทศอุรุกวัย หมดอายุตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 แต่ได้รับใบอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ให้นำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศ เมื่อเดือนกันยายน 2563, เนื้อวัวตู้ที่ 2 จำนวน 23 ตัน นำเข้ามาจากประเทศ เยอรมนี หมดอายุตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 แต่ได้รับใบอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ให้นำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศ เมื่อเดือนตุลาคม 2563 และเนื้อวัวตู้ที่ 3 จำนวนประมาณ 32 ตัน นำเข้ามาจากประเทศอิตาลี หมดอายุเดือนกุมภาพันธ์ 2563 แต่ได้รับใบอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ให้นำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศ เมื่อเดือนมกราคม 2564. -สำนักข่าวไทย