Thailand, Germany Looks to Enhance Strategic Partnerships
Thailand and Germany agreed to elevate the level of strategic partnership between the two countries, Thai prime minister Srettha Thavisin said on Thursday (January 25).
Thailand and Germany agreed to elevate the level of strategic partnership between the two countries, Thai prime minister Srettha Thavisin said on Thursday (January 25).
กรุงเทพฯ 6 ธ.ค. สวทช.เตือน สารระเหยจากวัสดุภายในรถที่ไม่ได้มาตรฐาน สร้างความเสี่ยงเป็นโรคร้ายได้ ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) หรือ NCTC เป็นศูนย์ทดสอบที่อยู่ภายใต้ระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการ ISO/IEC17025 ตามมาตรฐานสากล รายงานว่า ส่วนประกอบของวัสดุภายในรถยนต์ทุกอย่างตั้งแต่พวงมาลัย แผงคอนโซลหน้ารถ เบาะที่นั่ง ไปจนถึงที่วางแขน และอื่นๆ ส่วนใหญ่ทำด้วยพลาสติก กาว ผ้าและวัสดุอื่น ๆ ที่สามารถ ปล่อยก๊าซทางเคมีสู่บรรยากาศ ซึ่งสารเหล่านั้นเป็นสารประกอบอินทรีย์ระเหย หรือ VOCs (Volatile Organic Chemicals) ที่สามารถระเหยเป็นไอและกระจายอยู่ในอากาศได้โดยที่เรามองไม่เห็น และแน่นอนว่าสารเคมีที่ระเหยออกมาล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อสุขภาพของเรา อาทิ สารเบนซีน (Benzene) ที่เป็นสารประกอบของพลาสติก จัดเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ หรือสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) สารประกอบของกาว ฉนวนโฟม และใช้ในการเคลือบสิ่งทอ หากร่างกายได้รับสารเข้าไปในปริมาณมากก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งปอดและมะเร็งหลังโพรงจมูกได้ เป็นต้น ซึ่งหากวัสดุภายในรถไม่ได้มาตรฐานเพียงพอ สารเคมีต่างๆก็จะสามารถปล่อยก๊าซทางเคมีออกมาได้ โดยเฉพาะในเวลาที่เราจอดรถไว้ในที่อุณหภูมิสูง การทดสอบคุณภาพและมาตรฐานของวัสดุภายในรถจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) หรือ NCTC เป็นศูนย์ทดสอบที่อยู่ภายใต้ระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการ ISO/IEC17025 ตามมาตรฐานสากล เป็นศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบตามวิธีมาตรฐานต่างๆด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย และได้มาตรฐาน พร้อมนักวิจัยและวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้สามารถวิเคราะห์ทดสอบงานที่ซับซ้อนได้ เปิดดำเนินการ 7 วัน 24 ชั่วโมง พร้อมให้บริการด้วยความสะดวกและรวดเร็ว NCTC สนับสนุนกลุ่มงานอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพในการต่อยอด (First S-Curve) และ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) อีกทั้งสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาสินค้ามูลค่าสูงให้กับภาครัฐและเอกชน พร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านการวิเคราะห์ทดสอบโดยให้บริการในรูปแบบเครือข่ายศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ทำงานร่วมกับศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นศูนย์กลางการวิเคราะห์ทดสอบระดับอาเซียน (Asean Testing Hub) และเป็น Testing solution provider ที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก ศูนย์ฯ เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์การวิเคราะห์และทดสอบมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยสินค้าตามมาตรฐานสากล โดย NCTC เปิดให้บริการครอบคลุมในอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ หุ่นยนต์และแมคาทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งหมายรวมถึงวัสดุภายในรถ ด้วยห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทางเคมีที่มีเทคโนโลยีและผู้เชียวชาญที่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากล จึงทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ถึงผลทดสอบคุณภาพและมาตรฐานของวัสดุภายในรถ นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบยังต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัยของผู้บริโภคนั่นเอง NCTC เปิดดำเนินการแบบ One-Stop Service: 7 วัน 24 ชั่วโมง พร้อมให้บริการด้วยความสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางการวิเคราะห์ทดสอบระดับอาเซียน (Asean Testing Hub) และเป็น Testing Solution Provider อีกด้วย ผู้ที่สนใจสามารถสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-117-6850-57 อีเมล์ : nctc@nstda.or.th-สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 6 ม.ค. พุทธิพงษ์ จี้ตำรวจ ปอท.เร่งดำเนินคดี คนโพสต์ละเมิดสถาบันหลัก หลังแจ้งความนานกว่า 2 เดือนไม่คืบเดินหน้าแจ้งความ FB-Twitter ปิดกั้นโพสต์หมิ่นไม่หมด พบ ล่าสุดอสส.รับคดีฟ้องเฟซบุ๊คเป็นคดีนอกราชอาณาจักรแล้ว นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ปี 2563 ที่ผ่านมา ตนไม่ได้นิ่งนอนใจหรือเพิกเฉยต่อกรณีการกระทำความผิดโพสต์ข้อความมีเนื้อหาและภาพไม่เหมาะสมเกี่ยวกับสถาบันฯ ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยได้เน้นย้ำให้กองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ(ปท.) กระทรวงดิจิทัลฯ ดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้นและส่งเรื่องต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งขอคำสั่งศาลส่งไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ดำเนินการทางกฎหมาย ไปแล้วนานกว่า 2 เดือน จึงอยากให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการสืบสวนนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ขณะที่พบว่าตั้งแต่เดือนตุลาคม – ธันวาคม 2563 มีผู้โพสต์เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14(3),(5) รวมทั้งสิ้น 638 URLs (รายการ) พนักงานเจ้าหน้าที่พิสูจน์ทราบตัวตนบุคคลแล้ว 26 บัญชี ซึ่งได้แจ้งความให้ทาง ปอท.แล้ว และทราบว่าต้นเดือนนี้ปอท. เตรียมเรียก 9 รายมาสอบสวน ซึ่งพบว่าเป็นคนเดิมที่กระทำผิดซ้ำหลายครั้ง เจ้าหน้าที่จึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งจะเรียกรายอื่น ๆ ที่พิสูจน์ตัวบุคคลได้แล้วและจะเรียกพบเจ้าหน้าที่ในลำดับต่อไป ขณะเดียวกัน ดีอีเอส ยังคงเดินหน้า แจ้งความเฟซบุ๊คและแพลตฟอร์มต่างชาติ 2 ราย ที่ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการปิดกั้นหรือลบข้อความไม่เหมาะสม ตามคำสั่งศาลที่พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งไป รวม 7 ชุด ทั้งหมด 8,443 URLs(รายการ) โดยFacebook มากสุด 5,494 URLs ลบข้อความบางส่วน แต่ยังคงเหลือ 2,387 URLs และTwitter คงเหลือจำนวน 611 URLs ซึ่งเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย 15 วัน โดย กระทรวงดิจิทัลฯได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับผู้ให้บริการทั้ง2 รายต่อ ปอท.แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างเจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบสวนตามกระบวนการกฎหมาย และประสานอัยการสูงสุด กรณีเฟซบุ๊ค ที่ล่าสุด อัยการสูงสุดได้รับเป็นคดีนอกราชอาณาจักรแล้ว -สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 5 ม.ค. – แชทบอท Away COVID-19 รู้ทันโควิด-19 สามารถบอกว่าพื้นที่ที่คุณกำลังเข้าไปมีอันตรายจากโควิด-19 หรือไม่ จากตัวเลข 745 แล้วตกใจ เราไม่รู้ว่าใครติดโควิด-19 หรือเปล่า สถานที่ที่เรากำลังจะไป ปลอดภัยแค่ไหน ขอแนะนำ แชทบอท Away COVID-19 ผลงานจากโครงการ NU x LINE Mentorship Programme แอด แชตบอตใน Line ใช้การตรวจเช็กพื้นที่เสี่ยงของโควิด-19 ระลอกนี้ Away COVID-19 แสดงจุดหรือพื้นที่ที่มีเคสโควิด-19 บนแผนที่ทำให้เรารู้ได้ว่าจุดไหนบ้างที่เป็นพื้นที่เสี่ยงโควิด-19 ระลอกใหม่ Away COVID-19 แจกแจงข้อมูลรายงานให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน มีการแบ่งพื้นที่ครบทั้งประเทศ ตรวจดูด้วยแผนที่ทุกจังหวัด และช่วงเวลา แยกตามพื้นที่ เพศ จังหวัด และเวลา Away COVID-19 เป็นศูนย์กลางการติดต่อสื่อสาร หมายเลขฉุกเฉิน สามารถค้นหาสถานพยาบาล ในพื้นที่ไว้อีกด้วย เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ทันที.-สำนักข่าวไทย
กรุงเทพฯ 2 ธ.ค. “พุทธิพงษ์” ตั้งเป้าเพิ่มศูนย์ดิจิทัลชุมชุน ติวเข้มทั่วไทยใช้เทคโนโลยีค้าขายออนไลน์ผ่าน Thailandpostmart รับมือโควิด-19 เผย ยอดคนส่งของทั้งปีผ่านไปรษณีย์ไทยกว่า 2,400 ล้านชิ้น เงินหมุนเวียนคืนชุมชนปีละกว่า 31ล้าน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในประเทศไทยระรอกใหม่ ส่งผลให้ประชาชนต้องกลับเข้าสู่การระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น บางหน่วยงานเริ่มให้พนักงานทำงานอยู่ที่บ้าน เพื่อหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลให้การซื้อขายออนไลน์ (อีคอมเมิร์ซ) เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดย บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงดิจิทัลฯ นอกจากจะให้บริการนำส่งจดหมาย พัสดุต่าง ๆ แล้ว ยังเปิดให้บริการขนส่งของดีจากวิสาหกิจชุมชนและเกษตรกรทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ Thailandpostmart โดยเฉพาะผลไม้และผลิตผลทางเกษตรกรรมที่ไม่สามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้ เนื่องจากสถานการณ์โรคCOVID-19 ส่งผลให้ปี 2563 มีปริมาณการขนส่งพัสดุ จดหมาย และไปรษณียภัณฑ์ประเภทต่างๆ ผ่านไปรษณีย์ไทย รวมทั้งสิ้นกว่า 2,400 ล้านชิ้น ถือเป็นการปิดยอดขนส่งที่ดีในช่วงเทศกาลปีใหม่ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า จะผลักดันเว็บไซต์ Thailandpostmart ไปยัง 250 ศูนย์ดิจิทัลชุมชนทั่วประเทศเพื่อช่วยสร้างรายได้ให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเพื่อการค้าขายสินค้าทางออนไลน์ ถือเป็นการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าชุมชนผ่านเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย โดยปี 2564 จะดำเนินการเพิ่มศูนย์ดิจิทัลชุมชนอีก 250 ศูนย์ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ -สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 31 ธ.ค. ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ หรือ แชร์ข่าวปลอม หลังพบคนโพสต์ สธ.ห้ามประชาชนเดินทางข้ามจังหวัด ว่อนโซเชียล จากกรณีที่มีการแชร์ภาพพร้อมข้อความว่า งดเดินทาง หรือ ห้ามประชาชนเดินทางข้ามจังหวัดนั้น สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ยืนยันว่า เรื่องนี้ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบกับศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีการประกาศห้ามหรืองดการเดินทางข้ามจังหวัดแต่อย่างใด มีเพียงการขอความร่วมมือจากประชนให้งดการเดินทางที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้เป็นการเดินทางกลับเหมือนสถานการณ์ปกติและป้องกัน และลดโอกาสการแพร่เชื้อโควิด-19 ดังนั้น ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูล COVID-19 แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเข้มงวดในมาตรการด้านสาธารณสุข ออกไปไหนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นการป้องกัน และลดโอกาสการแพร่เชื้อ-สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 30 ธ.ค. พุทธิพงษ์” ลั่น เร่งเอาผิดกับแพลตฟอร์มต่างประเทศ หลังยื่นคำสั่งศาลไปกว่า 8,000 URLs แต่ยังลบข้อความหมิ่นไม่หมด เล็งบังคับใช้กฎหมายจริงจังกับผู้ใช้โซเชียลหน้าเก่าโพสต์ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงฯดำเนินการส่งคำสั่งศาลการแจ้งแพลตฟอร์มต่าง ๆ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ที่เข้าข่ายละเมิดสถาบันหลักของชาติ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม – ธันวาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง จำนวน 8,443 URLs โดยแบ่งเป็นเฟซบุ๊ก 5,494 URLs ปิดกั้นแล้ว 3,107 URLs เหลืออีก 2,387 URLs ยูทูบ 1,755 URLs ปิดกั้นแล้ว 1,722 URLs เหลือ 33 URLs ทวิตเตอร์ 674 URLs ปิดกั้นแล้ว 63 URLs เหลือ 611 URLs และอื่นๆ 520 URLs ปิดกั้นแล้ว 133 URLs คงเหลือ 387 URLs ทั้งนี้มีบัญชีผู้ใช้งานรายเดิม แต่พบว่ายังมีการกระทำผิดซ้ำอย่างต่อเนื่อง เช่น ชื่อบัญชีของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์Pavin Chachavalpongpun มีจำนวนคำสั่งศาล 194 คำสั่ง บัญชีของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล Somsak Jeamteerasakul มี51 คำสั่งศาล นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) มี 2 คำสั่งศาล โดยกองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด ทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ปท.) กระทรวงดิจิทัลฯ ได้รวบรวมหลักฐานส่งฟ้องต่อ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินคดีกับแพลตฟอร์ม ตามมาตรา 27 และดำเนินคดีกับบัญชีผู้ใช้งานที่กระทำผิดแล้ว และอยู่ระหว่างสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ-สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 29 ธ.ค.ดีอีเอส ประกาศของขวัญปีใหม่ 2564 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงฯ พร้อม 4 หน่วยงานในสังกัด จัดเตรียมของขวัญชุดใหญ่ เตรียมมอบให้กับประชาชนในโอกาสต้อนรับปีใหม่ 2564 โดยครอบคลุมทั้ง บริการแจ้งเตือนภัยธรรมชาติในพื้นที่ผ่านเอสเอ็มเอส โปรฯฟรีค่าโทรและไวไฟ ส่วนลดเติมเงินมือถือ ส่ง ส.ค.ส.ฟรีทางไปรษณีย์และส่วนลด 20% สำหรับการซื้อสินค้าผ่าน www.thailandpostmart.com ครบทุก 500 บาท พร้อมส่งฟรีทั่วไทย เป็นต้น โดยกรมอุตุนิยมวิทยา เตรียมบริการฟรีส่งข้อความสั้น (SMS) แจ้งเตือนภัยธรรมชาติที่จะเกิดกับผู้รับผลกระทบในพื้นที่นั้นๆโดยจะส่งข้อความไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทั้ง 5 ราย เพื่อแจ้งต่อไปยังประชาชนหรือนักท่องเที่ยวในพื้นที่ และเปิดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคาดการณ์แนวโน้มดัชนีอากาศฟรีผ่านเว็บไซต์ ozone.tmd.go.th บ่งชี้คุณภาพอากาศโดยเฉพาะ PM 2.5 ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ช่วงวันที่ 1-15 ม.ค.64 จะเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้อุตุนิยมวิทยา รวมทั้งศูนย์อุตุนิยมวิทยา5 แห่งที่จัดตั้งครอบคลุม 5 ภูมิภาคของประเทศ ได้แก่ ที่จ.เชียงใหม่, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, สงขลา และภูเก็ต ผู้สนใจจะได้มีโอกาสเรียนรู้เครื่องมือในการทำงาน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ปฏิบัติงานด้านอุตุนิยมวิทยา อีกทั้งเปิดโลกทัศน์ด้านแผ่นดินไหวให้กับผู้เข้าเยี่ยมชมผ่านเครื่องจำลองการสั่นไหวด้วย ทางด้าน บมจ.ทีโอที จัดเตรียม 2 โครงการเป็นของขวัญเอาใจทั้งลูกค้าที่ใช้บริการโทรศัพท์ประจำที่ (Fixed Line) และโทรศัพท์มือถือ โดยลูกค้าบริการ Fixed Line ทุกเลขหมาย จะได้รับสิทธิ์ยกเว้นค่าโทรศัพท์ประจำที่ทั่วไทย และเบอร์ TOT mobile ทุกหมายเลข ในช่วงวันที่ 30 ธ.ค. 63 – 2 ม.ค. 64 สำหรับลูกค้าบริการ TOT mobile ทั้งระบบรายเดือนและระบบเติมเงินทุกเลขหมาย สามารถเลือกกดรับสิทธิ์ voice มูลค่า100 บาท ผ่านระบบ USSD *9020*1#กดโทรออก หรือกดรับสิทธิ์การใช้งานอินเทอร์เน็ต 5GB ผ่านระบบ USSD *9020*2#กดโทรออก โดยเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค. 63 – 2 ม.ค. 64 และใช้งานได้จนถึงวันที่ 31 ม.ค. 64 ขณะที่ บมจ. กสท โทรคมนาคม เตรียม 3 โครงการให้บริการพิเศษในเทศกาลปีใหม่ ได้แก่ โทร 009 ฟรีช่วงวันปีใหม่ประชาชนสามารถใช้บริการ CAT 009 ฟรีทั่วโลก โทรศัพท์หาเพื่อนฝูงญาติมิตรในต่างประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ระยะเวลาตั้งแต่ 00.01 น. วันที่ 31 ธ.ค. 63 – 24.00 น. วันที่ 1 ม.ค. 64 นอกจากนี้ ประชาชนสามารถใช้บริการไวไฟฟรี จาก C internet by CAT ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.63 – 2 ม.ค. 64 อีกทั้งจัดแคมเปญmy by CAT โปรเติมเงินจ่ายครึ่งราคา ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ใช้บริการ my แบบเติมเงิน โดยลดราคาแพคเกจเติมเงิน50% สมัครใช้บริการตั้งแต่ 15 ธ.ค. 63 – 15 ม.ค. 64 ในส่วนของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เตรียมอบของขวัญปีใหม่ผ่าน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการส่งการ์ดอวยพร โดยงดเว้นค่าตราไปรษณียากร ช่วยลดค่าใช้จ่าย และส่งเสริมให้ประชาชนส่งความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ ผ่านบริการไปรษณีย์ คนละไม่เกิน 10 ชิ้น (บรรจุซองหรือไม่ก็ได้) ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.63 – 5 ม.ค.64 และโครงการให้ส่วนลด ร้อยละ 20 สำหรับการซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ www.thailandpostmart.com สามารถเลือกซื้อสินค้าชุมชนทางออนไลน์ โดยได้รับส่วนลดดังกล่าว สำหรับการซื้อสินค้า 500 บาท ขึ้นไปต่อ 1 รายการสั่งซื้อ พร้อมจัดส่งฟรีทุกรายการสินค้า ผู้สนใจใช้สิทธิ์ส่วนลดได้โดยพิมพ์THP2021 ลงในช่องโค้ดส่วนลด สำหรับการสั่งซื้อสินค้าในช่วงวันที่ 12 ธ.ค.63 – 12 ม.ค.64 จะช่วยให้ผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าชุมชนที่นำสินค้ามาจำหน่ายผ่านช่องทาง www.thailandpostmart.com สามารถใช้โอกาสนี้เพิ่มยอดขายสินค้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับฐานราก ไปจนถึงผู้ประกอบการขนาดย่อมในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทยได้เป็นอย่างดี-สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 29 ธ.ค. ดีอีเอส เปิดสถิติ 10 ข่าวปลอมที่มีการแชร์มากสุดในปี 63 กระทรวงดิจิทัลฯ เผย 10 อันดับข่าวปลอมที่ถูกนำมาแชร์ซ้ำมากที่สุดในรอบปี 63 หมวดสุขภาพครองแชมป์ 3 อันดับแรกขณะนี้สัดส่วนข่าวปลอม ข่าวจริง และข่าวบิดเบือนบนเครือข่ายโซเชียล อยู่ในสัดส่วน 7:2:1 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า จากที่ได้รับมอบหมายจากนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันตน์ รมว.ดีอีเอส ในการเร่งแก้ไขปัญหาข่าวปลอม โดยมีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เป็นกลไกสำคัญ และถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล มุ่งเน้นการจัดการข้อมูลที่เป็นเท็จทางสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะข่าวปลอมที่สร้างความตื่นตระหนกและความเสียหายกับประชาชนและสาธารณชนในวงกว้าง ล่าสุดศูนย์ฯ ได้รวบรวมข้อมูลจัดอันดับ 10 ข่าวปลอมที่มีการนำมาแชร์ซ้ำบ่อยสุดในรอบปี 2563 โดยพบว่าสัดส่วนหลักอยู่ในหมวดสุขภาพ รวมทั้ง 3 อันดันแรก ได้แก่ อันดับ 1 ดื่มสไปรท์ใส่เกลือ แก้ท่องร่วง ท้องเสียได้อันดับ 2 คลอรีนในน้ำประปาเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งเมื่อถูกความร้อน อันดับ 3 ใส่ผ้าอนามัยนาน ทำให้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก อันดับ 4 งดใช้ตู้ ATM ที่ไม่มีไฟกระพริบตรงที่เสียบบัตร อันดับ 5 น้ำมันเบนซินมีสารระเหยดูดพิษจากแมลงกัดต่อยหายใน 3-5 นาที อันดับ 6 จัดตั้งจังหวัดในประเทศไทยเพิ่ม รวมเป็น 83 จังหวัด อันดับ 7 ผู้ประกอบการที่ใช้ตราฮาลาลบนสินค้า ไม่ต้องเสียภาษี อันดับ 8 มหัศจรรย์น้ำปัสสาวะ รักษาโรคแก้ปวดเมื่อย ช่วยให้ตาใสมองเห็นชัด อันดับ 9 บริษัทชื่อดังฉลองวันพิเศษ แจกบัตรกำนัล สินค้า และรางวัลต่างๆ และอันดับ 10 กรอกแบบสอบถามจากหน่วยงานของรัฐลุ้นรับของรางวัลฟรี “จากข้อมูลที่รวบรวมได้ สอดคล้องกับภาพรวมของจำนวนข่าวที่ผ่านการคัดกรองเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบในปีนี้ที่มีทั้งหมดกว่า 7 พันเรื่อง ในจำนวนนี้อยู่ในหมวดสุขภาพถึงร้อยละ 56 หรือกว่า 4 พันเรื่อง” นายภุชพงค์กล่าว ปีนี้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วทั้งหมด 4,198 เรื่อง พบสัดส่วนข่าวปลอม : ข่าวจริง : ข่าวบิดเบือน อยู่ที่ 7:2:1 โดยดำเนินการเผยแพร่ข่าวที่ตรวจสอบไปแล้ว 1,163 เรื่อง หมวดหมู่ที่ทำการประชาสัมพันธ์มากที่สุด คือหมวดหมู่สุขภาพ คิดเป็นร้อยละ 69 ตามด้วย หมวดหมู่นโยบายรัฐ หมวดหมู่ภัยพิบัติ และหมวดหมู่เศรษฐกิจ
ทุกครั้งที่มีการอัพเดทเครือข่ายสื่อสารจากเทคโนโลยีระดับหนึ่งไปอีกระดับขั้นหนึ่ง มักมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่าเมื่อเปลี่ยนผ่านจากเจนเนอเรชั่นหนึ่งไปอีกเจนเนอเรชั่น ด้วยความสามารถในการสื่อสารที่เร็วขึ้น แรงขึ้น สัญญาณที่ส่งมีอันตรายต่อมนุษย์ หรือผู้ใช้งานหรือไม่ เมื่อเราได้ปลี่ยนผ่านการสื่อสารจาก4G ไป5G เชื่อว่าคำถามแบบนี้จะเกิดขึ้นมาอีกแน่นอน เราจึงไปสอบถามกับผู้เชี่ยวชาญ นายสืบศักดิ์ สืบภักดี เลขาธิการสมาคมโทรคมนาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อไขความกระจ่าง โดยเลขาธิการ สมาคมโทรคมนาคม อธิบายว่า กระแสความตื่นตัวเรื่องเทคโนโลยี 5G ในบ้านเราเริ่มเป็นที่สนใจมาโดยลำดับนับตั้งแต่ กสทช. จัดให้มีการประมูลคลื่น 5G ทั้งความถี่ 700MHz 2600 เมกกะเฮิรตซ์ และ 26 กิกะเฮิรตซ์ ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ต่อเนื่องกับการที่ผู้ประกอบการ 2 รายใหญ่ลงทุนขยายเครือข่าย 5G ทันที โดย ณ วันนี้สามารถพูดได้ว่า ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีบริการ 5G เชิงพาณิชย์ให้บริการ รวมถึงมีพื้นที่ครอบคลุม 5G มากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนที่ทยอยเปิดบริการ 5G ตามมาก็ตามแม้เทคโนโลยีมือถืออาจไม่ได้ใหม่สำหรับผู้ใช้ แต่ในเมื่อ 5G เป็นเรื่องใหม่ในแง่มุมของเทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจหรือการรับรู้ในรายละเอียดอาจมีความแตกต่างจากเทคโลโลยี 3G หรือ 4G ในอดีต สิ่งหนึ่งเลยที่คนมักเข้าใจผิดมากคือเรื่อง “ความเร็ว” ที่ 5G สามารถทำได้มากกว่าเดิม 10 เท่า แสดงว่าส่งคลื่น “แรง” กว่าเดิม 10 เท่าด้วย!! และถูกเชื่อมโยงไปสู่เรื่องอันตรายจากคลื่นที่แรงหรือกระทบสุขภาพเกิดเป็นกระแสบอกต่อ หรือแชร์ผ่านโลกโซเชียลต่อ ๆ กัน โดยขาดความเข้าใจที่แท้จริง “เทคโนโลยี 5G เป็นของใหม่ที่ต้องยอมรับว่าต้องให้เวลาสังคมหรือผู้บริโภคได้ทดลองใช้ หรือเข้าใจในตัวเทคโนโลยีให้มากขึ้นเช่นเดียวกับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอดีตที่อาจมีข้อกังวลหรือไม่ยอมรับในช่วงแรกแต่เมื่อสังคมหรือผู้บริโภคมีความเข้าใจในข้อเท็จจริงและวางใจแล้ว ก็จะคลายความกังวลไป เหมือนที่ในอดีตคนไม่กล้าใช้เตาไมโครเวฟตอนที่เปิดตัวใหม่ ๆ เพราะกลัวอันตรายจากคลื่นไปสู่อาหาร หรือแม้แต่มือถือในยุคแรก ๆ ที่ผ่านมา ที่มีประเด็นเรื่องคลื่นจากเสาส่งเช่นกันกันกับที่คนพูดถึงกันมากกับ 5G ตอนนี้ ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง คลื่นก็คือคลื่น คลื่นที่ 5G ใช้ในวันนี้ก็ไม่ต่างจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรคม คลื่นโทรทัศน์ ที่ส่งออกอากาศอยู่รอบตัวเรา เพียงแต่เทคโนโลยีที่นำมาใช้บนตัวคลื่นนั้น ๆ ที่เปลี่ยนไป ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้มากขึ้น หรือเร็วขึ้นในภาษาชาวบ้าน คนเลยไปดีความว่าเร็วขึ้น แสดงว่าแรงขึ้น แล้วอันตราย ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่แบบนั้น” หลายคนบอกว่าคลื่น 5G ส่งแรงกว่า 4G มาก เลยกลัวหรือกังวลกัน? “5G ไม่ได้ส่งคลื่นแรงกว่าเดิมในแง่กำลังส่ง เสาส่งหรือสถานีฐานที่ตั้งอยู่ทั่วไปที่เห็นจริง ๆ ก็มีกำลังส่งสูงสุด (Max Power) ไม่ได้ต่างจาก 4G เดิม อุปกรณ์พวกนี้มีมาตรฐานสากลในระดับโลกควบคุมและกำหนดไปยังผู้ผลิตแต่ละรายการที่จะบอกว่าเสาส่ง 5G ส่งแรงมากเกินมาตรฐานจึงเป็นเรื่องที่อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปมาก ในแง่เทคนิคกำลังส่งสูงสุดที่เห็นในความเป็นจริงเสาก็อาจไม่ได้ส่งออกเต็มกำลังเพราะระบบจะคอนโทรลให้เครื่องส่งใช้กำลังส่งเท่าที่จำเป็นไม่ไปรบกวนเซลข้าง ๆ เทคโนโลยีมีการใช้หลายคลื่น หลายชุดเครื่องส่งพร้อมกันหากจะพูดแค่ว่าแรงกว่าเดิมอันตรายกว่าเดิม อาจไม่ใช่แบบนั้น” แสดงว่าเสาส่ง 5G ก็ไม่ได้ส่งแรงกว่า 4G หรือมีอันตรายจากคลื่นอย่างที่เข้าใจกัน? “เป็นไปตามที่อธิบาย เราอาจจะเคยได้รับข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ อาทิ 5G แรงจนทำนกใกล้ ๆเสาส่งตาย หรือ 5G ส่งผ่านคลื่นไวรัสยิ่งช่วงนี้มีกระแสโควิด-19 หรือ 5G อันตรายจนบางประเทศแบนไม่ให้ใช้ อะไรทำนองนี้บ่อยมาก แต่อยากให้ลองใช้การคิดโดยหลักข้อเท็จจริงว่า คลื่นจะ 2G 3G 4G หรือ 5G ก็คือคลื่นวิทยุเหมือนกันต่างกันที่เทคโนโลยี กำลังส่งไม่ได้ต่างกัน ถ้ากลัวเรื่องกำลังส่งจริง ๆ เสาส่งคลื่นแบบอื่นอาจใช้กำลังส่งมากกว่ามือถือ 5G ด้วยซ้ำ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีข่าวทำนกตายเป็นร้อยเป็นพันตัว หรือเรื่องการส่งไวรัสไปกับคลื่นมือถือยิ่งเป็นไปไม่ได้ นอกจากการให้คนเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีเพื่อเปิดใจ อาจต้องทำควบคู่กับการให้ข้อมูลที่ถูกต้องลบล้างกับ fake news ซึ่งแชร์กัน โดยไม่มีต้นตอหรือข้อมูลที่สืบค้นหลักฐานมายืนยันได้ บางอันก็แปลจาก blog ต่างประเทศที่มีลักษณะเป็น clickbait ด้วยซ้ำ” แสดงว่าผู้ใช้บริการสามารถวางใจและใช้งาน 5G ได้? “เรื่องมาตรฐานโทรคมเป็นเรื่องสากล ซึ่งมีหน่วยงานและกลไกดูแลทั้งระดับนานาชาติและระดับประเทศ สิ่งที่คนกังวลหรืออะไรที่มันจะเป็นอันตรายจริง ๆ ย่อมต้องมีการศึกษารับรองแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เกิดแค่ประเทศ แต่เป็นความปลอดภัยของผู้ใช้บริการทุกคนทั่วโลก อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีที่ใช้ ๆ ในประเทศเราก็ผ่านมาตรฐานและมาจากผู้ผลิตที่ทำตามมาตรฐานที่กำหนดโดยสากล ยังมี กสทช. กำกับเรื่องมาตรฐานโทรคม กำลังส่ง การขออนุญาตติดตั้ง และอื่น ๆ หลายขั้นตอน ในโลกยุคปัจจุบันที่อะไรก็สื่อสารส่งข่าวได้ไวได้ทั่วโลกแบบ 5G เรื่องร้าย ๆ อันตราย หรือสิ่งที่ไม่ปลอดภัยมันปกปิดกันไม่ได้แล้ว เว้นแต่เรื่องเหล่านั้นมันไม่จริงก็อาจเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง สุดท้ายก็โดนหักล้างโดยข้อเท็จจริงและหลักฐานยืนยัน ก็ขอให้ผู้ใช้บริการมั่นใจและวางใจเรื่องความปลอดภัยจากการใช้คลื่นได้ มีหน่วยงานและคนมอนิเตอร์เยอะไม่น่าต้องกังวล” เทคโนโลยี 5G กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในอนาคตเราจะเห็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ากับเครือข่ายและเกิดบริการที่จะขับเคลื่อนทั้งธุรกิจและการใช้ชีวิต ไม่พ้นแม้แต่เรื่องสุขภาพ เทคโนโลยีที่กังวลกันว่าอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพจากความเข้าใจที่ได้รับมาไม่ถูกต้องหรือรอบด้าน ในวันหนึ่งจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อสุขภาพ วงการแพทย์ หรือแม้แต่การรักษาผู้ป่วยแบบออนไลน์ผ่านโครงข่าย 5G ที่ส่งผ่านข้อมูลได้รวดเร็วครอบคลุม เมื่อถึงวันนั้นทุกคนอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยกังวลกับ 5G แบบเรื่องเล่าที่ส่งต่อ ๆ กันทุกวันนี้-สำนักข่าวไทย
กรุงเทพฯ 28 ธ.ค. กกพ. สนับสนุน เทลสกอร์ ดึงพลังอินฟลูเอนเซอร์ส่งเสริมพลังงานสะอาด ส่งเสริมการตระหนักรู้และมีส่วนร่วมทางด้านไฟฟ้า ภายใต้แนวคิด Clean Energy for Life กองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ให้การสนันสนุนเทลสกอร์ และภาคีจากภาครัฐและเอกชนรวม 25 องค์กร จัดทำโครงการด้านการส่งเสริมพลังงานสะอาด 26 โครงการ ภายใต้แนวคิด Clean Energy for Life ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน มุ่งส่งเสริมให้สังคมและประชาชนมีความรู้ ความตระหนัก และมีส่วนร่วมด้านไฟฟ้า และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพลังงานสะอาด (Clean Energy) นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้(Affordable and Clean Energy) เป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ดังนั้น กกพ. ในฐานะองค์กรกำกับดูแลกิจการพลังงานด้านกิจการไฟฟ้าและกิจการก๊าซธรรมชาติ จึงต้องการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ผ่านพลังการสื่อสาร ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อสังคมไทยและคุณภาพชีวิตของคนไทย ทั้งนี้จากความสำเร็จของโครงการในปีที่แล้วเพื่อสร้างการตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยใช้กลยุทธ์การสื่อสารทุกมิติ จนก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมทางสังคม สู่การปรับใช้จริงในชีวิตประจำวัน เราจึงเดินหน้าต่อยอดไปสู่กลยุทธ์การสื่อสารอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2563 – 2564 โดยมุ่งเน้นการสร้างแรงบันดาลใจจนก่อเกิดเป็นรูปธรรม รวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และสร้างเครือข่ายใหม่จากพลังงานหมุนเวียน เพื่อความยั่งยืนด้านพลังงานในประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด Clean Energy for Life พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของโครงการสื่อสารในปีนี้คือการดึงอินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายวงการเข้ามาช่วยเผยแพร่เนื้อหาผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มในวงกว้าง “ผลสำเร็จของโครงการภายใต้แนวคิด Clean Energy for Life ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน จะสร้างประโยชน์เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน และส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยดีขึ้นจากการใช้และผลิตพลังงานสะอาดที่ไม่ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แนวคิดนี้ยังนำไปสู่การเข้าถึงพลังงานสะอาดในราคาที่เข้าถึงได้สร้างผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ซึ่งทุกคนในสังคมไทยจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ ท้ายสุดแล้ว การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้จะช่วยพัฒนาสังคมไทยให้เกิดสมดุลในทุกมิติ และเชื่อมโยงสังคมทุกระดับ จากครัวเรือนสู่ชุมชน สู่สังคมโดยรวมและสู่ระดับโลก บนเส้นทางสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน” นอกเหนือจากการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนแล้ว เป้าหมายสูงสุดของแนวคิด Clean Energy for Life ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน คือการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการช่วยสนับสนุนการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ให้โรงพยาบาล 77 แห่งทั่วประเทศไทย ผ่าน“มูลนิธิแพทย์ชนบทเพื่อไฟจากฟ้า” ซึ่งต้นทุนสำหรับการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์กำลังผลิต 100 กิโลวัตต์นั้น สามารถช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของโรงพยาบาลได้เดือนละประมาณ 60,000 บาท ดังนั้นในระยะเวลา 1 ปี โรงพยาบาลจะสามารถลดภาระค่าไฟฟ้าได้ราว 720,000 บาท โดยต่อ 1 โรงพยาบาล ใช้งบประมาณไม่เกิน 4 ล้านบาทในการติดตั้งและเนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์มีอายุการใช้งาน 25 ปี จึงสามารถช่วยโรงพยาบาลลดภาระค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 18 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาการใช้งาน โดยส่วนต่างจากการจ่ายค่าไฟที่น้อยลง สามารถนำไปจัดหาอุปกรณ์ และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคนอย่างยั่งยืน การสื่อสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์ เทลสกอร์ ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้คัดสรรอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้มีอิทธิพลด้านการสื่อสารให้ตอบโจทย์และส่งเสริมการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์และรับผิดชอบ โดยงานครั้งนี้เทลสกอลได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนพัฒนาไฟฟ้าสำนักงาน กกพ. ในการทำหน้าที่ดึงพลังการสร้างสรรค์ของอินฟลูเอนเซอร์มาใช้ในการเชื่อมต่อและถ่ายทอดข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจง่ายให้กับประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะเยาวชนและคนรุ่นใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของโครงการ Clean Energy for Life ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน นางสาวสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscore กล่าวว่า เทลสกอลจะส่งต่อความรู้เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานงานสะอาด ผ่านแคมเปญการสื่อสารที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ รวมไปถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบที่ได้รับความร่วมมือจากผู้มีอิทธิพลด้านการสื่อสารชั้นนำจากหลายวงการ ที่จะหยิบยกประเภทพลังงานทดแทนและหัวข้อสื่อสารที่สำคัญเพื่อแสดงถึงตัวอย่างของพลังงานสะอาดและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยแคมเปญการสื่อสารจะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564-สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 28 ธ.ค. ทรู มีคลื่นความถี่ครบ 7 ย่านหลัง ชำระเงินค่าประมูลคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์ งวดแรก เล็งเพิ่มสัญญาณ 5G ต่อ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดย พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร (ที่5 จากขวา) ประธานคณะกรรมการ พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร กสทช. ร่วมรับมอบเงินค่าประมูลคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมย่าน 700 เมกกะเฮิรตซ์ ช่วงความถี่ 703-713 เมกกะเฮิรตซ์คู่กับ 758-768 เมกกะเฮิรตซ์ที่ได้รับการจัดสรรเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2562 จาก บริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โดย นายจักรกฤษณ์อุไรรัตน์ (ที่5 จากซ้าย) ผู้อำนวยการด้านรัฐกิจสัมพันธ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น จำนวน 1,881.488 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) พร้อมกับหลักประกันการชำระเงินค่าคลื่นความถี่ในส่วนที่เหลือวงเงินจำนวน 16,933.392 ล้านบาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ตามเงื่อนไขการรับใบอนุญาต ทรู 5G พร้อมเพิ่มสัญญาณบริการ 5G บนคลื่นความถี่ 700 เมกกะเฮิรตซ์ ทันทีหลังได้รับใบอนุญาตฯ ในพื้นที่ที่ กสทช. ได้ดำเนินการปรับปรุงสัญญาณทีวีดิจิทัลเพื่อใช้ในงานด้านโทรคมนาคมแล้ว ได้แก่ กรุงเทพฯและปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ซึ่งจะทำให้ ทรูมูฟ เอช มีคลื่นย่านความถี่ต่ำครบทั้ง 3 ย่านความถี่ คือ700 เมกกะเฮิรตซ์, 850 เมกกะเฮิรตซ์และ 900 เมกกะเฮิรตซ์ เพิ่มศักยภาพการให้บริการที่ครอบคลุมและสามารถทะลุทะลวงเข้าถึงภายในอาคารได้ดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผสานการให้บริการบนคลื่นครบทั้ง 7 ย่านความถี่ โดยเฉพาะคลื่น 2600 เมกกะเฮิรตซ์ ที่เปิดให้บริการ ทรู 5G อยู่แล้ว -สำนักข่าวไทย.