ชี้วิกฤติโควิดเป็นบทเรียนแนะธุรกิจประกันบริหารสร้างความเชื่อมั่น

กรุงเทพฯ 10 ส.ค.-รมว.คลัง ชี้วิกฤติโควิดเป็นบทเรียนสำคัญ แนะธุรกิจประกันบริหารความเสี่ยงสร้างความเชื่อมั่นพร้อมระบุปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้เริ่มฟื้นตัว มาจาก 2 กลไกสำคัญคือ ภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยว


นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “บทบาทของธุรกิจประกันภัย ต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน” ว่า ในปีนี้คาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้ดีขึ้น หลังจากเศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยปีนี้แม้สถานการณ์ระบาดของโควิดจะคลี่คลายและพ้นช่วงวิกฤติไปได้แล้ว แต่โรคโควิดก็ยังไม่หายไปไหนประชาชนยังต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิดให้ได้ ซึ่งตลอดระยะ 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีมาตรการออกมาเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปัจจัยที่ทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้เริ่มฟื้นตัว มาจาก 2 กลไกสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเริ่มกลับมาทำงานได้ดีขึ้น คือ ภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยว โดยในส่วนของการส่งออกนั้นเห็นสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่ปลายปี 64 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากขึ้น หลังจากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งคาดว่าปีนี้มีโอกาสได้เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 10 ล้านคน อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และคาดว่าในปี 66 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะเพิ่มมากขึ้น


รมว.คลัง กล่าวว่า เมื่อเศรษฐกิจของประเทศเริ่มดีขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องมาทบทวนบทเรียนที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเห็นว่าในธุรกิจประกันภัย ได้เข้ามามีส่วนช่วยดูแลประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิด มีการออกผลิตภัณฑ์เพื่อให้ความคุ้มครองสุขภาพประชาชนจากสถานการณ์โควิด แต่ขณะเดียวกันก็มีบทเรียนที่สำคัญ คือการไม่สามารถบริหารความเสี่ยงจากการออกผลิตภัณฑ์ในช่วงที่สถานการณ์ไม่ปกติได้ จนเป็นผลให้เกิดการร้องเรียนเข้ามามากและกระทบต่อความเชื่อมั่นในตัวบริษัทประกันและมองว่า ทุกส่วนประกอบของโครงสร้างประกันภัย/ประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแล, ผู้ประกอบธุรกิจประกัน, ประชาชน และตัวแทนขายประกัน ล้วนแต่มีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในระบบประกันทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ธุรกิจประกันเป็นส่วนหนึ่งของภาคการเงินที่มีส่วนช่วยในด้านการออมของประชาชน เพื่อให้เกิดความมั่นคงทั้งในชีวิต และทรัพย์สิน ดังนั้นจึงอยากฝากใน 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.ความมั่นคงของระบบประกัน ซึ่งกุญแจสำคัญคือการบริหารความเสี่ยง โดยจะเห็นได้จากประสบการณ์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่าการจะออกผลิตภัณฑ์ใดๆ นั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และต้องมั่นใจว่าจะสามารถบริหารความเสี่ยงได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และความมั่นคงของธุรกิจประกัน 2. การนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ ซึ่งในปัจจุบันระบบดิจิทัลได้เข้ามามีส่วนอย่างมากต่อการทำธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชน รวมทั้งภาคประชาชนเอง แต่ขณะเดียวกันการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ จะต้องคำนึงถึงระบบความปลอดภัยและน่าเชื่อถือด้วย 3.การส่งเสริมการประกันภัยเพื่อความยั่งยืน โดยเป็นการสร้างองค์ความรู้ และเพิ่มทักษะทางการเงินให้กับภาคประชาชน เพื่อให้ถึงเห็นความสำคัญของการทำประกัน ในขณะที่หน่วยงานที่กำกับดูแล ก็ต้องช่วยลดปัญหาหรือผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม และไม่นำไปสู่ความเสี่ยงในภาคธุรกิจประกัน

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่าสภาพเศรษฐกิจและสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยต้องเผชิญกับความท้าทายอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความผันผวนของเศรษฐกิจ, ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน, ปัญหาภัยธรรมชาติ, การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค, การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด, การระบาดของโรคโควิด ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อความเข้มแข็ง และความเชื่อมั่นของธุรกิจประกันภัย ซึ่งนับเป็นโจทย์ที่ท้าทายให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจประกันจะต้องตอบสนองต่อความเสี่ยงดังกล่าวอย่างทันท่วงที


อย่างไรก็ตาม ในปีนี้และปีหน้ายังมีความไม่แน่นอนอยู่ แม้สถานการณ์ระบาดของโรคโควิดจะเริ่มคลี่คลายลงไปแล้วแต่การกลายพันธุ์ของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตา เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดที่รวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดจะเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงเดือน ก.ย.นี้ อย่างไรก็ดี จากแนวนโยบายของรัฐบาลที่กระตุ้นให้ประชาชนออกมาฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ก็จะเป็นส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค และลดโอกาสการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้เป็นอย่างดี .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ลั่นพร้อมใช้สิทธิปกป้องกำลังพล-ปรับแผนลาดตระเวน

12 ส.ค.- “แม่ทัพภาค2” ชี้เขมรแอบลอบวางทุ่นระเบิด ละเมิดเงื่อนไขหยุดยิง หวังยั่วยุ พร้อมใช้สิทธิปกป้องคุ้มครองกำลังพล เป็นเรื่องหน้างานไม่เกี่ยวเจรจา เชื่อเขมรไม่ยอมรับตามเงื่อนไขที่ไทยเสนอ เล็งใช้กล้องวงจรปิด ปรับแผนการลาดตระเวน เผยรายงานรัฐบาล-ผบ.ทบ.แล้ว จ่อประท้วงระดับสากล เมื่อวันที่ 12 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่ทหารพราน ร้อย.ทพ.2610 เหยียบกับระเบิดระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาซ้าย 1 นาย คือ ส.อ.ธีรพล เพียขันที ขณะนี้ปลอดภัยแล้ว ซึ่งเหตุเกิดในจุดแนววางรั้วลวดหนามทางด้านทิศตะวันตก ถ้าหันหน้าเข้าเขมรจะอยู่ฝั่งขวาของตัวปราสาท และห่างจากตัวปราสาทประมาณ 1 กิโลเมตร เรียกว่าช่องจุ๊บตาโมก สันนิษฐานว่าเขมรลักลอบมาวางระกับเบิดช่วงที่ถอนกำลังทหารออกไป ซึ่งวันนี้ทหารไปตรวจสอบแนววางลวดหนาม บริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทย เป็นเส้นทางที่ใช้ลาดตระเวนประจำอยู่ในฝั่งไทยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการยั่วยุ ผิดเงื่อนไขการหยุดยิง เพราะการวางทุ่นระเบิด ถือเป็นการยิงเหมือนกัน เราจะมีมาตรการตอบโต้ และรายงานให้รัฐบาลรับทราบตามขั้นตอนแล้ว หลังจากนี้จะนำไปสู่ขั้นตอนการประท้วงในระดับสากล พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ […]

เฉลิมพระเกียรติพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

12 ส.ค. – ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 วันนี้เวลา 12.00 น. ณ ท้องสนามหลวง กองทัพบก โดยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ ยิงสลุตหลวงจำนวน 21 นัด เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 โดยกองร้อยปืนใหญ่ยิงสลุต ใช้ปืนใหญ่เบากระสุนวิถีราบ แบบ 80 ขนาด 75 มิลลิเมตร จำนวน 4 กระบอก ทำการยิงตามจังหวะของเพลงสรรเสริญพระบารมี จำนวน 21 นัด จังหวะ 5 วินาที ทีละกระบอก นับรอบจากขวาไปซ้าย ใช้เวลายิงทั้งหมด 1 นาที 40 […]

ทบ.เผยหากสถานการณ์บีบบังคับ อาจต้องใช้สิทธิป้องกันตนเอง

12 ส.ค.- ทบ.ชี้กัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดคุกคามต่อเนื่อง ไม่สนผิดอนุสัญญาออตตาวา โฆษก ทบ.เผยหากสถานการณ์บีบบังคับ กองทัพอาจจำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเองตามหลักสากล พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 09.10 น. สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 พร้อมกำลังพลรวม 7 นาย ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย บนเส้นทางประจำ ห่างจากปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างปฏิบัติภารกิจ สิบเอก ธีรพล ได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณข้อเท้าซ้าย ปัจจุบันได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรัก อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และไม่เคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามใช้และวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกชนิด นับเป็นการลอบโจมตีที่มีเป้าหมายต่อกำลังพลฝ่ายไทยโดยตรง และเกิดขึ้นในเขตแดนไทย ยิ่งไปกว่านั้น เหตุลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่ชายแดน สะท้อนถึงเจตนาร้ายและพฤติกรรมต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาในการคุกคามฝ่ายไทย และละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนไทย สวนทางกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศในการประชุม GBC ที่ผ่านมา จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า […]

ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขณะลาดตระเวน สูญเสียขาอีก 1 นาย

12 ส.ค.- ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิด ขณะลาดตระเวนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม หลังรั้วลวดหนามฝั่งไทย คาดทหารเขมรล่าถอยแล้วฝังทุ่นระเบิดไว้ เมื่อเวลา 09.10 น. รายงานข่าวจากกองทัพพื้นที่สองเปิดเผยว่า ได้เกิดเหตุทหารพราน 2610 เหยียบกับระเบิดขณะทำการลาดตระเวนบริเวณฐานจุ๊บตาโมก ฝั่งตะวันตกของปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในแนวรั้วลวดหนามของฝั่งประเทศไทย บริเวณพิกัด R51 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ทราบชื่อ ส.อ.ธีรพล เพียขันที กรุ๊ปเลือด AB ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด ขณะนี้กำลังนำส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากเหตุปะทะกันทางทหารกัมพูชาได้ล่าถอยและฝั่งทุ่นระเบิดไว้ก่อนออกนอกพื้นที่เขตประเทศไทย -สำนักข่าวไทย