กรุงเทพฯ 14 มิ.ย.- STP เปิดเทรดวันแรกที่ราคา 20 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท คิดเป็น 11.11% จากราคาไอพีโอที่ 18 บาทต่อหุ้น ผู้บริหารแจงนำเงินขยายโรงงาน-ลงทุนเครื่องจักรเพิ่ม เผย ออเดอร์โตต่อเนื่อง ตั้งเป้าสร้างรายได้ 750 ล้านบาทภายใน 5 ปี
สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ หรือ STP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันนี้ เป็นวันแรก และได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ราคาหุ้นเปิดการซื้อขายที่ 20 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 11% จากราคา IPO ที่ 18 บาท โดยสหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (STP) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายใต้กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,800 ล้านบาท ประกอบธุรกิจรับพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ทุกชนิด ด้วยระบบพิมพ์ออฟเซต (Offset Printing) บนกระดาษที่บริษัทจัดหา หรือพิมพ์บนกระดาษที่ลูกค้าจัดหามาเอง มีกลุ่มลูกค้ารายใหญ่เป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออกในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจเวชภัณฑ์ และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภคทั่วไป ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 580 ล้านบาท มาจากรายได้จากการผลิตบรรจุภัณฑ์ด้วยกระดาษที่บริษัทจัดหา 94% รายได้จากการให้บริการ 3% และรายได้อื่น 3%
STP มีทุนชำระแล้ว 100 ล้านบาท พาร์ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 74.60 ล้านหุ้น และหุ้น IPO 25.40 ล้านหุ้นโดยเสนอขายแก่นักลงทุนในราคาหุ้นละ 18 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 457.20 ล้านบาท โดยการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ประมาณ 15 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565)
ผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวโรจน์วงศ์จรัต โรจนวงศ์จรัส และโรจน์วงศ์จรัส ถือหุ้นรวม 74.60% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีจากงบเฉพาะกิจการในแต่ละงวด หลังหักเงินสำรองตามกฎหมายและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัท
นายสุรนัย โรจน์วงศ์จรัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STP กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำมาใช้ขยายโรงงานประมาณ 70 ล้านบาท ลงทุนเครื่องจักรและอุปกรณ์ 290 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นทุนหมุนเวียน ทั้งนี้เพื่อปลดล็อกกำลังการผลิต รองรับแผนการดำเนินงานที่วางไว้ หลังจากปีที่แล้วมีออเดอร์มากจนล้นกำลังการผลิตมั่นใจจะช่วยยกระดับฐานรายได้ให้เติบโตในอนาคต ตั้งเป้าสร้างรายได้ 750 ล้านบาท ภายใน 2-3 ปี
นายสุรนัยระบุด้วยว่า สำหรับการแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบัน STP มีการแข่งขันไม่รุนแรงเนื่องจากมีจุดแข็งคือการบริการลูกค้าแบบครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบ จนถึงการผลิต ในราคาที่สูสีกับคู่แข่ง ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เป็นเทรนด์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมใช้วัสดุ ที่เป็นวัสดุรีไซเคิล โดย STP ใช้วัสดุทีรีไซเคิลได้อย่างน้อย 50% และมากที่สุดถึง 70% ส่วนสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ไม่ส่งผลกระทบกับบริษัท แต่กลับเร่งการเติบโตโดยเฉพาะออร์เดอร์จากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น มีไม่มากนัก เพราะน้ำมันไม่ใช่ส่วนประกอบหลักแต่อาจทำให้ค่าขนส่งแพงขึ้น และเชื่อว่าหากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามที่หลายฝ่ายกังวล บริษัทจะได้รับผลกระทบไม่รุนแรง หรือได้รับผลกระทบกลุ่มหลังสุด พร้อมขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจ ยืนยันว่าผู้บริหารทุกคนจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน.-สำนักข่าวไทย