กรุงเทพฯ 12 พ.ค./ บีบีจีไอ ย้ำเข้าตลาดฯครึ่งหลังปี64 เผย ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ครั้งแรก 1,300 ล้านบาท ผู้ลงทุน จองซื้อผ่าน “กรุงไทย” 5 เท่า ด้านบีซีพีจี ไตรมาส1/64 กำไรเพิ่ม ร้อยละ18.1
นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นเป็นครั้งแรก จำนวน 1,300 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ลงทุนให้ความสนใจลงทุนเกือบ 5 เท่าของมูลค่าที่เสนอขาย ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 1 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.53 ต่อปี มูลค่า 500 ล้านบาท และหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.30 ต่อปี มูลค่า 800 ล้านบาท โดยมีธนาคารกรุงไทย เป็นผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ และบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปชำระคืนหนี้ ลงทุนในธุรกิจใหม่และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ
ความสำเร็จในออกหุ้นกู้ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้ลงทุนต่อธุรกิจของบริษัท ในฐานะเป็นผู้นำในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ของประเทศไทย ซึ่งมีบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นหลัก และความเชื่อมั่นต่อผลดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยผลประกอบการ ณ สิ้นปี 2563 มีรายได้รวม 12,620 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 845 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 12,731 ล้านบาท และหนี้สินรวม 6,227 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 6,504 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยคาดว่าจะยื่นไฟลิ่งเพื่อขอเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,047 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2563 ร้อยละ 18.1 และ EBITDA รวมอยู่ที่ 948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.0 มีกำไรจากการดำเนินงานปกติประมาณ 489 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสที่ 1/2563 ร้อยละ 21.1 เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากโครงการใหม่ ได้แก่ 1) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3B” ใน สปป.ลาว ที่เข้าซื้อในเดือน กุมภาพันธ์ 2563 2) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยกำลังการผลิตรวม 20 เมกกะวัตต์ จำนวน 4 โครงการ ที่ เข้าซื้อในเดือน สิงหาคม 2563 รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและญี่ปุ่น และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ“Nam San 3A” สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มมากขึ้นจากค่าความเข้มแสง และจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ตามลำดับ ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง
“ในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงขยายธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมลงทุน กับบริษัทสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ ในการพัฒนาดิจิทัลโซลูชั่น (Digital Solution) ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มากขึ้น และสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ให้ไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชั่นด้านพลังงานอัจฉริยะได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น” นายบัณฑิตกล่าว-สำนักข่าวไทย