กรุงเทพฯ 25 ม.ค. ปตท.เล็งขยายธุรกิจใหม่เสริมรายได้ ทั้ง ยา โลจิสติกส์ New Energy เชื่อมั่น เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย ฟื้นตัว วัคซีนเริ่มแพร่หลาย ส่งผล กลุ่ม ปตท.ผลประกอบการดีขึ้น
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้มีโอกาสดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่คาดฟื้นตัว หลังมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกมาใช้ ผลักดันให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นและราคาน่าจะมีเสถียรภาพมากกว่าปีก่อน ส่งผลดีต่อการดำเนินงาน เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ได้รับผลกระทบทั้งในส่วนของการขาดทุนสต็อกน้ำมัน และความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลง ฉุดมาร์จิ้นของธุรกิจแย่ลงด้วย ¶
“ ปตท.ยังประเมินราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบ ดูไบ ปีนี้ที่ราว 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และไม่ผันผวนแรงเหมือนในปีที่แล้ว ภายใต้เงื่อนไขวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีภาพชัดเจนในทางบวก และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ยังคงร่วมมือลดกำลังการผลิตตามแผน และเศรษฐกิจที่เป็นลักษณะของการทยอยฟื้นตัว แต่คงยังไม่กลับไปเหมือนในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 เหมือนในปี 62 โดยเศรษฐกิจจะเป็นลักษณะของการฟื้นตัวใน 3 ไม่ คือ 1. ไม่รวดเร็ว 2. ไม่ทั่วถึง เพราะบางกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างการท่องเที่ยว ก็น่าจะยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกอาหาร ยังคงไปได้ดี และ 3. ไม่แน่นอน ตราบใดที่ปริมาณการฉีดวัคซีนยังไม่มากพอ”นายอรรถพล กล่าว
นอกจากนี้ปตท. ยังคงเดินหน้ามองหาการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ในกลุ่ม Life science ซึ่งล่าสุดได้ปตท.ตั้งบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด รองรับการลงทุนดังกล่าวเพื่อให้เกิดความคล่องตัว โดยจะโฟกัสใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจยา , ธุรกิจ Nutrition และ ธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์ ในขณะที่ กลุ่ม Digitalization มีความร่วมมือกับบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ศึกษาและพัฒนานวัตกรรมด้านคลาวด์และดิจิทัล และล่าสุดปตท. ได้จัดตั้งบริษัท เมฆาเทคโนโลยี จำกัด ให้บริการระบบสารสนเทศหลากหลายรูปแบบผ่านอินเทอร์เนต (Public Cloud) เช่น การให้บริการจัดเก็บข้อมูล ประมวลผล จัดการข้อมูลต่าง ๆ ให้แก่บริษัท องค์กรต่าง ๆ รวมถึงกลุ่ม ปตท.ด้วย
ใขณะเดียวกัน ธุรกิจใหม่ ในกลุ่มโลจิสติกส์ ยังอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบที่จะผลักดันการขยายตัว ล่าสุดลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เป็นเวลา 3 ปี ในการศึกษาโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) เป็นการศึกษาและพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งภายใน ทลฉ. ในการรองรับและสนับสนุนแผนพัฒนา 3 โครงการหลัก. ได้แก่ โครงการพัฒนา ทลฉ. ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับความต้องการการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ ทลฉ. (Single Rail Transfer Operation : SRTO) เพื่อรองรับการขนส่งตู้สินค้าด้วยระบบรางที่ ทลฉ. และโครงการท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) เพื่อพัฒนาเส้นทางการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งกับ ทลฉ.
นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับบมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ในส่วนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ระยะที่ 3 (ท่าเทียบเรือ F) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มโลจิสติกส์ด้วย ส่วนความร่วมมือกับ GULF ในโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) นั้นเบื้องต้นเป็นเรื่องของงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และยังมีโอกาสได้สิทธิเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ด้วย
ในส่วนธุรกิจใหม่ ในกลุ่มพลังงานใหม่ (New Energy) ซึ่งรวมถึงการพัฒนาแบตเตอรี่ ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งปตท.มีการดำเนินการใน 2 เทคโนโลยี ได้แก่ การดำเนินการโดยบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ซึ่งอยู่ระหว่างจัดตั้งโรงงานแบตเตอรี่ โดยขณะนี้สามารถผลิตแบตเตอรี่ด้วยเทคโนโลยี Semi-solid เซลล์แรกของประเทศไทย หรือ “G-Cell” ได้แล้ว และการดำเนินการของปตท. ผ่านทางสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ที่ได้ตั้งโรงงานพัฒนาแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและลิเทียมซัลเฟอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการกักเก็บไฟฟ้า ซึ่งทั้งสองเทคโนโลยียังอยู่ในช่วงของการทำต้นแบบ -สำนักข่าวไทย