คาดโควิด-19 คุมราคาน้ำมันปีหน้าไม่เกิน 55 ดอลลาร์/บาร์เรล

กรุงเทพฯ 26 พ.ย. – กลุ่ม ปตท.ประเมินราคาน้ำมันปีหน้าขึ้นอยู่กับปัจจัยคุมโควิด-19 ส่งผลต่อการฟื้นเศรษฐกิจโลก ประเมิน 2 ทิศทางราคา อยู่ในช่วง 35-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล  ด้านซีไอเอ็มบีแนะแบงก์ชาติคุมเงินบาท หากแข็งค่ามากกระทบเศรษฐกิจหนัก


นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาออนไลน์ 2020 The Annual Petroleum Outlook Forum ซึ่งจัดในรูปแบบออนไลน์เป็นครั้งแรก  ภายใต้หัวข้อ “The Great Reset : เมื่อโรคปฏิวัติโลก… เจาะลึกจุดเปลี่ยนโลกพลังงาน” ซึ่งทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกลุ่ม ปตท. หรือ PRISM Expert  ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดขึ้น เพื่อนำเสนอทิศทางและแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงความท้าทายของพลังงานในอนาคตที่ต้องเผชิญ เพื่อมุ่งสู่การสร้างพลังงานที่ยั่งยืนให้กับประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อภาครัฐ ภาคเอกชน นักการเงินการธนาคาร สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน และบุคคลทั่วไป

นายอรรถพล กล่าวว่า ภาวะราคาน้ำมันปีหน้าขึ้นอยู่กับปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งหากควบคุมการระบาดโควิด-19 ได้ดี การใช้น้ำมันก็มีโอกาสเพิ่มขึ้น ซึ่งปีนี้ทั้งยอดใช้น้ำมันและราคาลดลงอย่างมาก ส่งผลให้เศรษฐกิจ (จีดีพี) โลก คาดจะติดลบร้อยละ 4.4 ส่วนไทยขณะนี้มีการประเมินกันว่าจะติดลบประมาณร้อยละ 6-10


นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม  กล่าวว่า ทิศทางของตลาดน้ำมันโลก ว่า “COVID-19 เป็น “The Great Reset หรือ จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันปี 2563 ปรับลดลงมากที่สุดเป็นประวัติกาล ส่งผลให้หลายฝ่ายรวมถึงผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกรวมตัวกัน เพื่อหาทางรักษาสมดุลให้กับตลาดน้ำมัน โดยปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว คือ การผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และนโยบายการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนที่มีบทบาทสำคัญ เพื่อช่วยสร้างสมดุลการเติบโตเศรษฐกิจในอนาคต

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ PRISM Expert ทั้งจาก ปตท.,ไทยออยล์ ,ไออาร์พีซี และจีซี ประเมินว่า จากเศรษฐกิจโลกหดตัวหนักในปี  2563 คาดความต้องการจะลดลง 8.6 ล้านบาร์เรล/วัน  ส่วนปี 2564 เศรษฐกิจและการค้าโลกปีหน้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคือการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ที่จะเกิดจากประสิทธิภาพของวัคซีนที่จะผลิตออกมา รวมไปถึงการเมืองระหว่างประเทศ นโยบายของผู้นำประเทศที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก การกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ  เช่น สหรัฐ จีน ความร่วมมือของกลุ่มโอเปก-พลัส ในการดูแลสเถียรภาพราคาน้ำมัน 

ทั้งนี้ กรณีควบคุมโควิด-19 ได้ดีในปี 2564 คาดจีดีพีโลกอาจจะขยายตัวร้อยละ 5.2 ความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะขยายตัว 5.3 ล้านบาร์เรล/วัน คาดจะมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน ราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ระดับ 45-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และกรณีเศรษฐกิจโลกแย่จีดีพีโลกปี 2564 จะขยายตัวร้อยละ 3.4 ความต้องการใช้น้ำมันจะขยายตัว 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน คาดจะมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้น 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน และคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ระดับ 35-45 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล


ทีม PRISM Expert ยังระบุว่า โควิด-19 ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรมและพฤติกรรมของมนุษย์อย่างรวดเร็ว แพลทฟอร์มการค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขยายตัวยอดค้า 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านล้านเหรียญในปี 2568 มีสัดส่วนการค้าโลกถึงร้อยละ 23 โดยเทคโนโลยี 5 จี จะมีส่วนเชื่อมการค้าโลก การเงินเข้าด้วยกัน ธุรกิจด้านดิจิทัลจะก้าวกระโดด ธุรกิจหุ่นยนต์จะไม่ได้เข้ามาทดแทนคน แต่จะมีบทบาทร่วมกับมนุษย์ในหลากหลายอุตสาหรรม

โควิด-19 ยังเป็นตัวเร่งการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พลังงานทดแทนจะขยายตัว ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี ก็จะเพิ่มขึ้น  รวมทั้งทิศทางกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ ก็จะมีบทบาท ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าไต้หวันคุมโควิด-19 ได้ดี และเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วก็เป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีที่เข้ามาติดตามและร่วมควบคุมโลกได้ดี

นอกจากนี้ ในอนาคต จากความใส่ใจสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy ) จะมีบทบาทเพิ่มขึ้น รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เนื่อง เช่น ไบโอพลาสติก และอื่น ๆ

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  กล่าวว่า คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้จะหดตัวร้อยละ 6-7 ปีหน้าจะขยายตัวร้อยละ 3.5 -4.5 และมองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาปกติใน 2 ปีข้างหน้า โดยปัจจัยที่ต้องจับขึ้นกับ 4 เรื่องหลัก  คือ REST  ประกอบด้วย  1.Reshuffle ความชัดเจนในการปรับ ครม. มีผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม มีการมองประเทศไทยเหมือนกับกระทะเคลือบเทฟร่อน  ซึ่งแม้จะมีปัญหาการเมืองบ่อยครั้ง แต่เศรษฐกิจก็ไม่ติดขัดกับการเมือง การฟื้นตัวยังคงต้องพึ่งเศรษฐกิจในประเทศ ก็จะเห็นว่าไทยเริ่มฟื้นตัวจากจากการท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ส่วนการบริโภคและการลงทุนก็ต้องใช้เวลา

2.Exchange Rate เงินบาทที่แข็งค่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าปัญหาการเมือง  ดังนั้น หากปีหน้าแข็งค่ามากก็อาจจะทำให้จีดีพีไม่โตตามคาด  เพราะกระทบ รายได้ของประเทศที่จะมาจากการส่งออกและท่องเที่ยว ความสามารถการแข่งขันของไทยจะลดลง  จึงคาดหวังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะติดตามดูแลเคลื่อนไหวของเงินบาทให้เป็นไปตามค่าเงินในภูมิภาค เช่น เวียดนาม มาเลเซีย 3.Second Wave การดูแลไม่ให้โควิด -19 กลับมาระบาดรอบใหม่  4 Trade War การส่งออกจะดีขึ้น ถ้าเกิด Trade Deal ซึ่งต้องจับตาดูผู้นำจีนและสหรัฐ จะมีข้อตกลงอะไรออกมาหรือไม่  ซึ่งไทยไม่ควรเลือกข้างว่าจะอยู่ฝั่งใด

“เศรษฐกิจไทยไม่ถึงทางตัน เราจะผ่านโควิด-19 ไปด้วยกัน จะเห็นได้ว่าไตรมาส 3/63 เริ่มฟื้นตัว และไทยยังมีศักยภาพในปีหน้ากับ 4 อ. ได้แก่ ธุรกิจ อาหาร , อายุ-ผู้สูงวัย ,อาเซียน และอัตราดอกเบี้ย ต่ำ ลากยาว สภาพคล่องล้น ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในปีหน้า” นายอมรเทพ กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ไทยตอนบนมีฝนน้อย คลื่นลมมีกำลังอ่อน

กทม. 2 ส.ค.-กรมอุตุฯ รายงานไทยตอนบนมีฝนน้อย คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 20% ของพื้นที่ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนน้อยเนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน และตากอุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ […]

เปิดข้อเสนอสุดท้าย ทีมไทยแลนด์ ต่อรอง “ทรัมป์”

1 ส.ค. – เปิด 10 ข้อเสนอของทีมไทยแลนด์ ที่นำไปต่อรองกับสหรัฐ จนนำไปสู่การปิดดีลภาษีนำเข้าในอัตรา 19% จากที่ก่อนหน้านี้ถูกขู่ว่าจะเก็บสูงถึง 36% นอกจากตัวเลขภาษีนำเข้า สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนต้องการรู้ นั่นก็คือข้อเสนอของทีมไทยแลนด์ ที่นำไปต่อรองกับสหรัฐ จนนำไปสู่การปิดดีลที่ 19% โดยสิ่งที่ไทยยอมแลก 10 ข้อหลักมีดังนี้ เรียกว่า ไทยยอมแลกหลายมิติ ทั้งเปิดตลาดให้สหรัฐ มากขึ้น ยกเว้นภาษีเกือบหมด, เพิ่มการนำเข้า, และร่วมมือด้านความมั่นคง แลกกับการที่ “ภาษีตอบแทน” ที่สหรัฐจะเก็บจากไทย ลดลงจาก 36% เหลือ 19%.-สำนักข่าวไทย

เคลียร์ BM21 หมู่บ้านกระสุนตก 5 ลูก อ.น้ำยืน อุบลฯ

อุบลราชานี 1 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ทำลายหัวกระสุน BM21 ที่ทหารกัมพูชายิงเข้ามาตกในหมู่บ้านชายแดน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทั้งหมด 5 ลูก มีทั้งที่ยังไม่ระเบิด และทำงานไม่สมบูรณ์ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิดทำลายหัวกระสุน BM21 ที่ทหารกัมพูชายิงเข้ามาตกในหมู่บ้านชายแดน ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ซึ่งจากการสำรวจพื้นที่ ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ใน 8 หมู่บ้าน 24 จุด พบกระสุน BM21 ทั้งหมด 5 ลูก มีทั้งที่ยังไม่ระเบิด และพร้อมทำงาน โดยในช่วงเช้าทำลาย 3 จุด จุดแรกอยู่บริเวณริมถนนสายน้ำยืน นาจะหลวย เจ้าหน้าที่ต้องปิดถนนทั้ง 2 ฝั่ง ก่อนขุดดินด้านบนแล้วหย่อนระเบิด C4 ลงไปในหลุมที่หัวกระสุน BM21 ตกแต่ไม่ระเบิด จากนั้นจึงจุดชนวนทำลายระเบิด ใช้เวลาเพียง 20 นาที หัวกระสุนถูกทำลายโดยไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ จุดที่ […]

ทูตทหาร 23 ประเทศ ลงพื้นที่จุดกัมพูชายิงถล่ม

ศรีสะเกษ 1 ส.ค. – วันนี้คณะทูตานุทูตและทูตทหาร รวม 23 ประเทศ ลงพื้นที่สังเกตการณ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในพื้นที่ถูกกัมพูชาโจมตี และศูนย์พักพิง การลงพื้นที่ในวันนี้ทางประเทศไทยต้องการให้คณะทูตทั้ง 23 ประเทศได้เห็นข้อเท็จจริงและนำไปเผยแพร่ให้ประชาคมโลกได้รับรู้ จุดแรกคือปั๊ม ปตท.บ้านผือ ที่ถูกกัมพูชายิงจรวด BM21 โดยนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ บรรยายสรุปให้คณะได้รับฟังถึงเหตุการณ์วันแรกที่เกิดขึ้นและเหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีญาติผู้สูญเสียนำรูปผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว บอกเล่าเหตุการณ์ความสูญเสียจากที่เกิดขึ้นต่อคณะทูตานุทูตผ่านล่าม พร้อมเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตที่ผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย จากนั้นคณะทูตทหาร เดินทางลงพื้นที่ ต่อไปยังจุดกระสุนตกใส่พลเรือน ที่อาคารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลชำเม็ง อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ส่งผลทำให้อาคาร รพ.สต. เสียหาย ที่นี่ ยังมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีเด็กเล็กอยู่ประจำกว่า 30 คน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากทางจังหวัดได้ประกาศให้ชาวบ้านอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยหรือศูนย์พักพิงชั่วคราว ตั้งแต่ 24 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันแรกที่ทางทหารกัมพูชาเปิดฉากยิง โดยนางเข็มจิรา จันทร์ทอง ผอ.รพ.สต.บ้านชำเม็ง บอกว่าถ้าวันนั้น หากยังไม่มีการอพยพ […]