กรุงเทพฯ
29 ส.ค.-ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟ้อง คดี ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ฟ้องนาย วีระศักดิ์
พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ข้อหาหมิ่นประมาท
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2561 พิพากษาให้ยกฟ้อง คดี ม.ล.กรกสิวัฒน์
เกษมศรี (โจทย์) ยื่นฟ้อง นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
(จำเลย) ในฐานความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาได้แชร์หรือส่งต่อรูปภาพจากเฟซบุ๊ก
หลังจากก่อนหน้านี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาให้รอลงอาญาโทษจำคุก 9 เดือน เป็นระยะเวลา 2 ปี
โดยบางตอนของคำพิพากษามีใจความสรุปได้ว่า
“มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า
การที่จำเลยใช้ข้อความว่า “…เขียนเชิงสงสัยไม่น่าจะผิด
แต่ชี้นำให้คนอื่นคิดผิดๆ เพราะตัวเองเคยเป็นแกนนำคนคิดผิดเนี่ย เลวนะ…” ลงในหน้าเฟซบุ๊กของจำเลย เป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท
ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์
ระบุข้อความหมิ่นประมาทเพียงว่า “ตัวเองเป็นแกนนำคนคิดผิดเนี่ย
เลวนะ”
โดยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณาโจทก็เพียงเบิกความว่า
ถ้อยคำดังกล่าวแสดงว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี แย่ ไม่ควรได้รับการยกย่องนับถือเท่านั้น
เมืออ่านข้อความในเอกสารหมาย จ.10
แผ่นที่ 2 ทั้งหมด
ในช่วงบนเป็นข้อความของโจทก์ที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊ก ของโจทก์ว่า “ตอนน้ำมันขึ้นราคา สินค้าก็ขึ้นราคา
ตอนน้ำมันดิบลงเกิน 50% มีอะไรในประเทศราคาลง 50% บ้างหรือไม่
แม้แต่ราคาน้ำมันก็ลงมาประมาณ 20 % เท่านั้น
น่าคิดว่า เราสามารถจัดการให้มีประสิทธิภาพได้มากกว่านี้หรือไม่” อันเป็นการที่โจทก์ตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการกลไกราคาสินค้าและราคาน้ำมันที่ไม่ลดราคาลงตามราคาน้ำมันดิบ
ในช่วงกลางซึ่งเป็นข้อพิพาทในคดีนี้ที่เจ้าของเฟซบุ๊ก “อยากคุยกับหม่อมกร” เขียนเพิ่มเติมด้วยลายมือตั้งคำถามโจทก์ว่า
“น่าคิดว่า 1.บ้านหม่อมเติมน้ำมันดิบเหรอ
ราคาหมูหน้าฟาร์มเท่าราคาตลาดแถวๆ บ้านหม่อมหรือเปล่า 2.น้ำมันดิบมีมากพอไม่ต้องน้ำเข้า
ไม่…ค่าขนส่งหรือไง 3.จงใจไม่พูดเรื่องภาษีและเงินกองทุนที่รัฐเก็บหรือเปล่าครับ
เพราะเงินส่วนนี้ไม่ได้ขึ้นลงตามราคาน้ำมัน เขียนเชิงสงสัย
ไม่น่าจะผิดแต่ชี้นำให้คนอื่นคิดผิดๆ เพราตัวเองเคยเป็นแกนน้ำคนคิดผิดเนี่ยเลวนะ จะไปใช้มุกตรวจสอบโดนสุจริตคงไม่มีใครเชื่อเพราพฤติกรรมก่อนนี้ชัดเจนความผิดสำเร็จแล้ว” เท่านั้น
โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงยืนยันว่า
โจทก์ชี้นำใครและคิดผิดเรื่องอะไร เพราะการที่โจทก์ตั้งคำถามเกี่ยวกับราคาน้ำมัน
ราคาสินค้าและการบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าวไม่ใช่การชี้นำให้บุคคลอื่นต้องเชื่อตามโจทก์
แม้จำเลยจะเข้าใจว่าการลงข้อความของโจทก์เป็นการชี้นำประชาชนให้เข้าใจผิดก็ตาม
แต่เมือข้อความดังกล่าวไม่ยืนยันว่าโจทก์เคยเป็นแกนนำใคร เมื่อไร
และโจทก์ชี้นำอย่างไร ให้ใครคิดผิดเรื่องอะไรโดยชัดแจ้งแล้ว บุคคลทั่วไปอ่านข้อความอาจไม่เข้าใจหรือทราบว่า
ข้อความดังกล่าวประสงค์จะสื่อข้อเท็จจริงเรื่องอะไร อันเป็นการใส่ความโจทก์อย่างไร
หากต้องการทราบอาจต้องสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมอันแสดงว่าบุคคลทั่วไปไม่เข้าใจไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงที่จะใส่ความโจทก์
จากข้อความที่โจทก์นำมากล่าวในการฟ้องโดยตรง
ข้อความดังกล่าวจึงไม่ใช่การกล่าวใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม แม้จะปรากฏว่าผู้ใช้
เฟซบุ๊ก “อยากคุยกับหม่อมกร” จะเน้นคำว่า “เลวนะ” อันเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ามีความหมายว่าโจทก์เป็นคนเลว
อันเป็นการลดคุณค่าโจทก์จึงเป็นการใส่ความโจทก์นั้น
เห็นว่า แม้ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “อยากคุยกับหม่อมกร” ประสงค์จะลดศักดิ์ศรีของโจทก์ด้วยการดูหมิ่นเสียดสี
แต่ถ้อยคำดังกล่าวยังไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงหรือใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามแต่อย่างไร
ลำพังแต่ถ้อยคำดังกล่าวยังไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อจำเลยคัดลอกข้อความและภาพดังกล่าวมาเผยแพร่ในเฟซบุ๊กของจำเลยต่ออีกทอด
จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายเช่นกัน
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณานั้น
ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น กรณีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยพยายนหลักฐานของจำเลยอีก
ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษสถานหนักจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษา กลับ ให้ยกฟ้อง
–สำนักข่าวไทย