23 ก.ย. – ก้าวสำคัญ ศึกษาขยายพื้นที่อีอีซี เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออก และภาพรวมเศรษฐกิจไทย
การขับเคลื่อนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสําคัญของรัฐบาลไทย ที่ได้ต่อยอดความสําเร็จจาก โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก หรืออิสเทิร์สซีบอร์ด เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ให้ครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่เป้าหมายกว่า 8.3 ล้านไร่ ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการในบริเวณ 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา โดยมีเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ที่สําคัญ คือ มีการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ชัดเจนโดยเหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ สอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีการบูรณาการการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคให้ต่อเนื่อง และเชื่อมโยงกันทั้งในและนอกเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การพัฒนาเมืองให้มีความทันสมัยระดับนานาชาติที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยและประกอบกิจการ มีการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร รวมทั้งมีการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเป็นการเฉพาะ
ภาคเอกชน 3 สถาบัน ริเริ่มเสนอขยายพื้นที่ อีอีซี
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้เข้าหารือข้อเสนอทางเศรษฐกิจต่อนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) เมื่อช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในข้อหารือด้านเศรษฐกิจของประเทศ คณะกรรมการ กกร. ได้มีข้อเสนอแนะสำคัญเร่งด่วน คือ การขอเพิ่มให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นอีก 1 จังหวัด ที่จะรวมอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อให้เกิดการเดินหน้าพัฒนาอย่างยั่งยืน และผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว ที่จะต่อยอดสร้างโอกาสการลงทุนสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่และชุมชนได้ ซึ่งถือเป็นแนวคิดหลักของการพัฒนาพื้นที่อีอีซี
สกพอ. ศึกษาเข้มข้นถึงความเหมาะสม ภายใต้วัตถุประสงค์ของ อีอีซี
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาถึงความเหมาะสม และศักยภาพของพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ในการขยายเป็นพื้นที่อีอีซี ให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งศักยภาพ โอกาส และแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงศึกษาประมาณการความต้องการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ และผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และจะจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการกำหนดบทบาทของจังหวัดปราจีนบุรี ที่จะเชื่อมโยงกับพื้นที่อีอีซี และคาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในเดือนกันยายน 2568 นี้
ในการศึกษาถึงความเหมาะสมของจังหวัดปราจีนบุรี ดังกล่าว ปัจจุบัน สกพอ. ได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินการให้ละเอียด ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนสำหรับการกำหนดทิศทางนโยบายที่เหมาะสมที่สุด
โดยในเบื้องต้นของการศึกษาครั้งนี้ สถาบันวิจัยฯ จะลงพื้นที่สำรวจข้อมูลพื้นฐาน พร้อมทั้งวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่แต่ละอำเภอในจังหวัดปราจีนบุรี ด้วยวิธีการทางวิชาการที่เป็นมาตรฐาน เช่น การประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของพื้นที่ การประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment: SIA) ทั้งนี้ สกพอ. ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในพื้นที่ ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงประชาชนในทั้ง 7 อำเภอของจังหวัดปราจีนบุรี โดยจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง โปร่งใส และเป็นกลาง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะท้อนความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง
นอกจากนั้น ในการออกแบบนโยบาย สถาบันวิจัยฯ จะทำการวิเคราะห์และคาดการณ์ความต้องการใช้ทรัพยากรในอนาคตของจังหวัดอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะด้านน้ำ พลังงาน เทคโนโลยีดิจิทัล และแรงงาน เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภค รองรับการเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ มุ่งตอบโจทย์พัฒนาเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
การศึกษาฯ ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการประเมินศักยภาพในเชิงวิชาการ แต่เป็นการรวบรวมข้อมูล บทวิเคราะห์ และเสียงสะท้อนจากประชาชน เพื่อนำไปประกอบใช้ในการกำหนดนโยบายว่าจะควรขยายพื้นที่อีอีซีให้ครอบคลุมจังหวัดปราจีนบุรีด้วยหรือไม่ อย่างไร ซึ่งจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และ ครม. ต่อไป
การพัฒนาอีอีซี ไม่ใช่เพียงการกำหนดพื้นที่เพื่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรม แต่เป็นการนำแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมาปฏิบัติจริงในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยในพื้นที่จังหวัดอีอีซีจะได้มีการพัฒนาเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการดึงดูดให้แก่การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 ประเภท ซึ่งคำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การสร้างนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดให้มีบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร การจัดหาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ มีความต่อเนื่อง ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกและเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ โดยสอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาเมืองให้มีความทันสมัยระดับนานาชาติที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยอย่างสะดวก ปลอดภัย และประกอบกิจการอย่างมีคุณภาพ
A Major Step: Studying the Expansion of the EEC to Drive Economic Activities in the Eastern Region and Thailand’s Overall Economy
The Eastern Economic Corridor (EEC) is one of the Thai government’s flagship missions, building on the success of the Eastern Seaboard Development Project launched more than three decades ago. The EEC now spans a target area of over 8.3 million rai across three provinces—Chon Buri, Rayong, and Chachoengsao. Its primary goals are to establish a clear and appropriate land-use plan aligned with local conditions and potential, advance sustainable development principles, and integrate infrastructure and utilities both inside and outside the EEC zone. At the same time, the initiative seeks to develop international-standard urban centers that are modern, livable, and business-friendly, while offering streamlined government services and granting specific incentives to enterprises operating within special economic zones.
Private Sector Pushes for Expansion of the EEC
Earlier this year, the Joint Standing Committee on Commerce, Industry, and Banking (JSCCIB)—comprising the Thai Chamber of Commerce, the Federation of Thai Industries, and the Thai Bankers’ Association—presented a set of economic recommendations to the Prime Minister. Among its urgent proposals was the inclusion of Prachin Buri Province into the EEC. The aim is to promote sustainable development and accelerate the growth of green industries, creating new investment opportunities while improving the quality of life for local communities—an extension of the EEC’s core development vision.
EECO Conducts In-Depth Study
The Eastern Economic Corridor Office of Thailand (EECO) is currently assessing the feasibility and potential of designating Prachin Buri as part of the EEC. The study encompasses land-use planning, economic and investment opportunities, resource demand forecasting, and the likely social, economic, and environmental impacts. The findings, along with policy recommendations, are expected to be completed by September 2025.
For this purpose, the EECO has commissioned the Thammasat University Research and Consultancy Institute to conduct a comprehensive study across economic, social, and environmental dimensions. Preliminary work includes field surveys of all districts in Prachin Buri and academic analyses using standard methodologies such as SWOT assessments and Social Impact Assessments (SIA).
Public participation is a key focus: input is being gathered transparently from government agencies, private-sector actors, civil society, and residents across Prachin Buri’s seven districts. The process is designed to ensure that community voices and needs are genuinely reflected in the policy direction.
Additionally, the study will forecast future resource requirements—including water, energy, digital technology, and labor—to ensure that infrastructure and utilities can support sustainable and efficient growth.
Towards Sustainable Economic Development and Better Quality of Life
This initiative is not merely a technical evaluation but a holistic process combining data, analysis, and public input to determine whether Prachin Buri should be included in the EEC. The final decision will rest with the EECO and, subsequently, the Cabinet.
The EEC’s mission extends beyond designating land for industrial estates. It represents the practical application of sustainable development in the Eastern region. The project emphasizes attracting investment in 12 targeted high-tech and eco-friendly industries, fostering innovation, and integrating smart technologies. It also envisions streamlined, one-stop government services, efficient and accessible infrastructure, and sustainable land use aligned with local potential. Above all, it aims to create modern, internationally competitive cities that are safe, convenient, and conducive to high-quality living and business operations.