กรุงเทพฯ 1 ก.ย. – ตลาดจับตาโหวตนายกฯ ชี้พรรคประชาชนตัวแปรสำคัญ มีโอกาสได้รัฐบาลเสียงข้างน้อย ทำงาน 4 เดือน ก่อนยุบสภาฯ ส่งผลอาจใช้งบฯ ได้จำกัด กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผอ.อาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์ในรายการนาทีลงทุน ทางช่อง 9 MCOT ประเมินว่าปัจจัยสถานการณ์การเมืองกดดันตลาดหุ้นไทยในเดือนกันยายน ตลาดสะท้อนว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีอาจยังไม่ราบรื่น ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความแน่นอนว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องติดตามว่าจะมีการโหวตนายกฯ ช่วงปลายสัปดาห์นี้ ตัวแปรสำคัญ คือพรรคประชาชน ที่มีเงื่อนไขว่าจะยกมือโหวตนายกฯ หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน อย่างไรก็ตาม หากได้ตัวนายกฯ ที่ชัดเจน ตลาดอาจตอบรับเชิงบวกในช่วงสั้นๆ แต่ในระยะยาวยังค่อนข้างจำกัด เพราะรัฐบาลมีช่วงเวลาการทำงานสั้นในเชิงการเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ นักลงทุนจะยังไม่เห็นความชัดเจน และหากมีการเลือกตั้ง ก็ยังไม่รู้ว่าพรรคใดจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ขณะที่ปัจจัยภายนอก หุ้นสหรัฐน่าจะมีการปรับฐาน หลังมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 เดือนติดต่อกัน ถือเป็นการทำสถิติใหม่ อย่างไรก็ดี การประเมินมูลค่าหุ้นของสหรัฐค่อนข้างตึงตัวสูงมาก ราคาหุ้นสะท้อนการคาดหวังลดดอกเบี้ยไปพอสมควร แต่ยังไม่คำนึงถึงความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส 4 จนอาจทำให้เฟดไม่อาจลดดอกเบี้ยได้เร็วอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ เดือน ก.ย. เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเดือนอื่น อย่างหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนต่ำสุด -1.1% เมื่อเทียบกับเดือนอื่น ๆ ที่เป็นบวก +0.7%
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.กรุงศรี มองว่าสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ เกิดภาพรอยต่อทางการเมืองสั้นๆ ในการเลือกนายกฯ ใหม่ คาดว่างบประมาณในวันที่ 1 -2 พ.ย.68 อาจถูกเลื่อนพิจารณาออกไปก่อน เพื่อรอการสรรหานายกฯ ใหม่ หากเลือกได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ผลงบประมาณชะลอระยะสั้น การเบิกจ่ายล่าช้า 1–2 เดือน โครงการลงทุนรัฐสะดุดจากกรอบเวลาปกติ
ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้น ประเมินว่าการสรรหานายกฯ ใหม่ จะสร้าง Sentiment บวกต่อการผ่านงบปี 2569 ก่อนเล่นกับโอกาสเกิดการเลือกตั้งในระยะ 6-9 เดือน จากรัฐบาลที่อยู่ต่อไม่นาน คาดตลาดแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,220–1,270 จุด ส่วนตลาดจะผันผวนหรือฟื้นตัวได้มากเพียงใด ขึ้นกับ 3 เรื่อง คือ 1) ระยะเวลาช่วงรอยต่อ ยิ่งมากยิ่งเป็นลบ 2) ความเสี่ยงต่อร่างงบประมาณปี 2569 ที่อาจสร้างความเสี่ยง Downside ต่อเศรษฐกิจ และ 3) เสถียรภาพรัฐบาลหลังรอยต่อ ซึ่งจะบ่งชี้ภาพการเมืองระยะกลาง
นายพิริยพล คงวาณิช นักลงทุนกลยุทธ์ บล.บัวหลวง ประเมินฉากทัศน์การเมือง 2 ฉากทัศน์หลัก ได้แก่ พรรคภูมิใจไทยจับมือพรรคประชาชน มีโอกาส 60% โดยคาดว่าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสยุบสภาสูง ทำให้ต้องจัดเลือกตั้งภายใน ธ.ค.ปีนี้ ที่ต้องจัดเลือกตั้งภายใน 45-60 วันหลังยุบสภา) และอีกฉากทัศน์ คือ พรรคเพื่อไทยจับมือพรรคประชาชน มีความเป็นไปได้ 40% คาดรัฐบาลมีโอกาสทำงานราว 4 เดือน ก่อนยุบสภาปลายปี และเลือกตั้งภายในเดือนก.พ.
สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน มีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งมีกรอบเวลาการบริหารงานที่จำกัดเพียงไม่เกิน 4 เดือน ด้วยเหตุนี้ แม้ว่า พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะมีโอกาสผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาได้ตามขั้นตอน แต่ด้วยข้อจำกัดเชิงอำนาจและกรอบเวลาของรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน อาจทำให้การใช้งบประมาณใหม่เป็นไปอย่างจำกัด อีกทั้งหากมีการยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ก็อาจทำให้กระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณมีแนวโน้มล่าช้าออกไป
ผลกระทบต่อหุ้น หากจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว ตลาดอาจคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ และอาจเทียบกับช่วงก่อนการเลือกตั้งในอดีต ซี่งจากสถิติการเลือกตั้ง 10 ครั้งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้นในช่วง 3 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่เรียกว่า Pre-election rally โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 3% แต่เลือกตั้งรอบนี้ โอกาสที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วง Pre-election rally ดูจะจำกัด เนื่องจากยังเผชิญปัจจัยความไม่แน่นอนหลายด้าน ทั้งกฎหมายที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของผู้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองหลักหลายพรรค และความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ประเทศอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลเสียงข้างน้อยในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวม โดยยังคงเป้าหมาย SET สิ้นปีไว้ที่ 1,280 จุด.-516สำนักข่าวไทย