กรุงเทพฯ 22 ก.ค.-บล.เอเซีย พลัส มอง ผู้ว่าฯ ธปท. คนใหม่ ลดดอกเบี้ยลง 1-2 ครั้งในปีนี้ คาดดัชนี SET ปลายปี 68 แตะ 1,376 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) กล่าวว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบแต่งตั้ง วิทัย รัตนากร เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) คนใหม่ ทำให้คาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงค่อนข้างมาก เนื่องจากคาดว่าการส่งออกในครึ่งปีหลังจะชะลอตัว ค่าเงินบาทแข็ง และเครื่องยนต์เศรษฐกิจต่างๆมีประสิทธิภาพลดลง จึงทำให้มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยสูง ซึ่งมั่นใจว่าในปีนี้จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในช่วงเดือนกันยายนนี้ และอาจจะมีเพิ่มอีก 1 ครั้ง ภายในปีนี้ โดยได้ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งหากลดดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้ง ในระดับ 0.25% จะช่วยหนุนตลาดหุ้นฯ ได้ประมาณ 70 จุด
ส่วน ปัจจัยเสี่ยงตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ที่น่าเป็นห่วงจะเป็นเรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่มีความคาดหวังว่าจะลดลงต่ำกว่า 36% แต่หากไม่เป็นอย่างที่คิด อาจทำให้จีดีพีไทย เติบโตต่ำกว่า 1.3% เนื่องจาเป็นอัตราที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้มองว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจะไม่มากนัก เพราะซึมซับข่าวร้ายไปมากแล้ว และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ รวมทั้งจะเห็น บจ. เข้ามาซื้อหุ้นคืนเพิ่มมากขึ้น โดยรวมมองว่าในครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยน่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก
บล. เอเซีย พลัส คาดเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย (SET INDEX) ช่วงปลายปี 2568 ที่ 1,376 จุด ภายใต้ EPS ปีนี้ที่ 86 บาทต่อหุ้น, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.75% อิง MEYG 4.50% (+1 SD) โดยทำให้มีอัพไซด์เปิดจากระดับดัชนีในปัจจุบันที่อยู่ในช่วง 1,140-1,170 จุด พอสมควร
ทั้งนี้ประเมินว่าปัจจัยลบที่เคยกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เริ่มผ่อนคลายลง อาทิ สงครามในตะวันออกกลางสงบลงชั่วคราว,ปัจจัยการเมืองที่ไม่น่ากระทบการจัดทำ พรบ.งบประมาณฯปี 2569 และปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชาที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่ค่อยมากนัก ขณะที่ในความกังวลที่เหลืออยู่คือการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ
ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ที่เฉลี่ย 262,550 ล้านบาทต่อไตรมาส ซึ่งเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากฐานที่ต่ำในปีก่อน โดยประเมินกำไรทั้งปี 1.06 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 86 บาท/หุ้น เติบโต 17% จากปีก่อนที่ 73.5 บาท/หุ้นซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้และถือว่า CONSERVATIVE กว่า BLOOMBERG CONSENSUS ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรเติบโตต่อเนื่องและมักจะปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงไตรมาสที่ 3 มีจำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ การเงิน,ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์,โรงพยาบาล,อสังหาฯ และขนส่ง
ส่วนแนวโน้มฟันด์โฟลว์ต่างชาติคาดจะทยอยเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นไทยมีราคาถูก จึงทำให้อาจมีแรงซื้อเข้ามาทยอยสะสมแบบช้าๆ ประกอบกับคาดว่าช่วงไตรมาส 3/68 แรงขายจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติจะเบาลง ตามยอดเม็ดกองทุน LTF ที่อยู่เพียง 1.17 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงมา 1.02 แสนล้านบาทนับตั้งแต่ช่วงต้นปี (YTD) และสัดส่วนต่างชาติถือหุ้นไทยทางตรงที่น้อยลงเรื่อยๆ จนล่าสุดอยู่ระดับ 24.2%
โดยปัจจุบันดัชนี SET มี VALUATION ถูก มี PBV ปี 2568 ต่ำกว่า 1.0 เท่า (-2SD) ต่ำสุดเป็นอันดับต้นๆของโลก (MSCI ACWI มี PBV 3.0 เท่า) และ SET มี DIVIDEND YIELD ปี 68 สูงระดับ 4.8% (+1SD) ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับต้นๆของโลกเช่นกัน
ส่วนด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นใหญ่กระจายหลายอุตสาหกรรมและมี High Dividend Yield หรือ Profit Growth ปี 68 เติบโตอย่าง PTT, SCC, CPALL, BDMS, TRUE และ PLANB -511 สำนักข่าวไทย