กรุงเทพฯ 9 ม.ค. – บล.พาย เชื่อแรงเทขาย LTF ไม่มาก หลังครบกำหนดปีนี้ แนะถือต่อ ชี้หุ้นรายตัวใน SET50 ผลประกอบการดี มองปัจจัยกดดันหุ้นไทย จากภาวะเศรษฐกิจไทย-ความผันผวนเศรษฐกิจโลก
นายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content บล.พาย ให้สัมภาษณ์ในรายการนาทีลงทุน ช่อง 9 MCOT HD ถึงการถือครองกองทุนหุ้นระยะยาว หรือ Long Term Equity Fund หรือ LTF ซึ่งผู้ซื้อสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ที่ครบกำหนด 7 ปี ในปีนี้ ยอมรับว่าขาดทุน 20-30% แล้วแต่กองทุนที่ถือครอง แต่ถ้าหากถือครองมาก่อนหน้านี้ซึ่งก็คงมีน้อย ก็อาจมีกำไรบ้าง สำหรับผู้ที่ครบกำหนด 7 ปีในปีนี้ เมื่อหักลบจากที่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีแล้วก็ยังขาดทุน ยังไม่แนะนำให้ขาย แม้มองว่า ตลาดหุ้นไทย ยังมี Downside Risk ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้น้อย แต่เมื่อมองพื้นฐานหุ้นที่อยู่ใน SET50 ซึ่งเป็นหุ้นหลักที่กองทุน LTF เข้าไปลงทุน พบว่าครึ่งหนึ่งของหุ้นใน SET50 ทำกำไรสูงสุดไปแล้วหรือปีนี้จะทำกำไรสูงสุด เพระฉะนั้นหุ้นไทยมองเป็นรายตัวยังมีดี แต่ที่ไม่มีเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาเพราะนักลงุทนต่างชาติไม่ได้ซื้อเป็นรายตัว และภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังขาดความน่าสนใจในสายตานักลุงทนต่างชาติเนื่องจากไม่มีหุ้นเทคโนโลยี
เมื่อดู SET index ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หากตัดหุ้น DELTA ออก พบว่าลดลงไป 160 จุด จากระดับปัจจุบัน เหลืออยู่ในระดับ 1,230 จุด มอง Downside ยังไม่มาก แม้เศรษฐกิจโลกยังผันผวน จึงยังอยากให้อดทนถือต่อ เพราะเชื่อว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นไทยมีโอกาสยืนเหนือระดับ 1,500 -1,600 จุด ที่เชื่อว่า บจ.ใหญ่ ยังมีผลกำไรเติบโตได้ดี หรือจะขาย แล้วรอการปรับฐานของดัชนีปีนี้ ก่อนไปซื้อกองทุนใหม่อย่าง Thai ESG เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนทางภาษี ซึ่งเม็ดเงินก็ยังไม่หายไปจากตลาด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะมีแรงเทขายเกิดขึ้นแต่ไม่มากนัก แต่เรายังมีกองทุนรวมวายุภักดิ์ 1 ซึ่งเป็นกองทุนใหญ่ ที่จะปรับฐานรับ LTF ที่ถูกขายไป อีกทั้งช่วงปลายปียังมีกองทุน Thai ESG รวมถึงกองทุน SSF ที่กำลังจะมีการเสนอต่ออายุ มองว่าปัจจัยที่จะส่งผลผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากกว่า คือ ภาวะเศรษฐกิจไทย และความผันผวนเศรษฐกิจโลก ขณะที่การลงทุนช่วงนี้อาจต้องระวังการปรับฐานของหุ้นธนาคาร หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2567 ขณะที่หุ้นที่น่าสนใจในไตรมาส 4 ปี 2567 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ปี 2568 มองว่าเป็นกลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มค้าปลีก. -516-สำนักข่าวไทย