กรุงเทพฯ 24 มิ.ย. – บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV กางแผนโชว์ศักยภาพการลงทุนในพื้นที่นิคมฯ ในเวียดนาม 4 โครงการ บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคเหนือ กลาง และ ใต้ บนพื้นที่กว่า 18,000 ไร่ เน้นรองรับอุตสาหกรรมสีเขียวและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ดึงดูดเม็ดเงินลงทุน FDI มากกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งเป้าปีนี้ เติบโต 15-20%
นางสมหะทัย พานิชชีวะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) เปิดเผย แผนกลยุทธ์และภาพรวมการลงทุนในปี 2567 ว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่กลุ่มอมตะฯได้เข้าไปลงทุนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นพื้นที่ลงทุนเป้าหมายสำคัญของนักลงทุนต่างชาติทั่วโลก สะท้อนได้จากความสำเร็จของอมตะฯ ในการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง และโครงการนิคมฯ ร่วมทุนกับพันธมิตรนานาชาติอีก 1 แห่ง ได้แก่ 1.นิคมฯ อมตะซิตี้ เบียนหัว 2.นิคมฯ อมตะซิตี้ ลองถั่น 3.นิคมฯ อมตะซิตี้ ฮาลอง และ 4.นิคมฯ กว่างจิ (Joint Venture) คิดเป็นมูลค่าลงทุนทั้งสิ้นกว่า 860 ล้านเหรียญสหรัฐ บนพื้นที่ดินที่ได้รับใบอนุญาต 3,000 เฮกตาร์ หรือราว 18,750 ไร่ ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าทั้งหมดกว่า 200 บริษัท คิดเป็นมูลค่าลงทุนมากกว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เกิดการจ้างงานมากกว่า 60,000 คน
สำหรับการพัฒนานิคมฯ อมตะซิตี้ เบียนหัวซึ่งเป็นนิคมแรกตั้งอยู่ที่เมืองเบียนหัว จ.ดองไน เป็นโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Industrial Park) ถือเป็นต้นแบบให้กับการพัฒนานิคมฯอื่นๆ ของทั้งประเทศเวียดนาม ส่วนนิคมฯอมตะซิตี้ ลองถั่น พัฒนาเป็นนิคมฯไฮเทคในพื้นที่ยุทธศาสตร์การลงทุนในภาคใต้ ซึ่งห่างจากสนามบินใหม่เพียง 10 นาที สำหรับภาคเหนือ นิคมฯ อมตะซิตี้ ฮาลอง ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.กว่างหนิง อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Economic Zone) ที่กำลังได้รับความสนใจสูงสุดจากนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีหลายด้านจากเวียดนาม และล่าสุดได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก บริษัท Marubeni Corporation จากประเทศญี่ปุ่น ในการเข้าถือหุ้น สัดส่วน 20% เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม การตลาดและการเงิน ส่วนนิคมฯกวางจิ (JV)ในภาคกลางเป็นนิคมร่วมทุนกับพันธมิตรอีก 2 ราย ประกอบด้วย Singapore Industrial Park J.V Co., Ltd (VSIP) และ Sumitomo Corporation ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ โดยคาดว่าสิ้นปี 2567 จะสามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับนักลงทุนได้
“ปัจจุบันมีลูกค้าต่างชาติจำนวนมากสนใจเข้ามาลงทุนในเวียดนาม ทั้งการขยายโรงงานอุตสาหกรรม การย้ายฐานการผลิต โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน และเป็นอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์มือถือ เซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งนี้เนื่องจาก จีดีพี เวียดนาม เติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2566 จีดีพี โตถึง 5.05% ส่วนตัวเลขคาดการณ์จีดีพี ปีนี้จะโตได้ถึง 6-6.5% อย่างไรก็ดีปี 2567 บริษัท อมตะ วีเอ็น มียอดขายที่รอโอน (Backlog) ประมาณ 60 เฮกเตอร์ และได้วางเป้าหมายรายได้เติบโตที่ 15 – 20% อมตะ วีเอ็น พร้อมรับการย้ายฐานลงทุนทั่วโลกส่วนความแตกต่างระหว่างการลงทุนในเวียดนามและไทย มองว่าทั้ง 2 ประเทศมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยเวียดนามมีข้อได้เปรียบเรื่องนโยบายการส่งออก มี FTA กับ 60 ประเทศทั่วโลก ทำให้มีข้อได้เปรียบเรื่องภาษี การเมืองเวียดนามมีเสถียรภาพมากกว่า เนื่องจากเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ และจำนวนประชากรที่มากถึง 100 ล้านคน ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้ปานกลาง พร้อมใช้จ่าย อยู่ในวัยแรงงาน ประกอบกับค่าแรงถูก ขณะที่ประเทศไทย มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม โดยเฉพาะไฟฟ้าที่มีเยอะกว่า ขณะที่เวียดนามมีจำกัด” นางสมหะทัย กล่าว. -517-สำนักข่าวไทย